หลังจาก HMD Global เป็นสตาร์ตอัพสัญชาติฟินแลนด์ ได้สิทธิ์การออกแบบและจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบรนด์ Nokia มาตั้งแต่ปี 2559 และเริ่มบุกตลาดไทยเมื่อ 2 ปีก่อน ล่าสุด “เป็กกา รันทาลา” รองประธานบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่สูงสุดฝ่ายการตลาด HMD Global ได้บินมาไทยอีกครั้ง เพื่อหารือกับคู่ค้าและทีมประเทศไทย
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสร่วมพูดคุยถึงแนวคิดการทำตลาดภายใต้แบรนด์เก่าแก่อายุกว่า 154 ปี ในมุมมองของผู้เคยทำงานกับบริษัทโนเกียกว่า 17 ปี ตั้งแต่ยุคเพิ่งปักธงให้ “โทรศัพท์เคลื่อนที่” เป็นธุรกิจหลัก จนถึงยุคที่โนเกียรุ่งเรืองที่สุด ก่อนจะลาออกด้วยตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดระดับโลก
Q : เบอร์ 1 ตลาดฟีเจอร์โฟน
เราเป็นเบอร์ 1 ในตลาดฟีเจอร์โฟนทั่วโลก ทั้งในแง่ของมูลค่าและจำนวนเครื่อง ส่วนสมาร์ทโฟนอยู่ใน Top 10 และมี 30 ประเทศที่อยู่ใน Top 5 ของตลาด ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทมากกว่า 50% มาจากสมาร์ทโฟน จากที่เริ่มเปิดตัวมา 2 ปี บุกตลาดไปแล้วกว่า 100 ประเทศ โดยในปี 2560 มียอดขายทั่วโลกกว่า 70 ล้านเครื่อง ส่วนปี 2561 ยังเปิดเผยตัวเลขไม่ได้ แต่มากกว่า
70 ล้านเครื่องแน่นอน เรียกว่าเติบโตสวนกับสภาพตลาดรวมที่ทรงตัว และพิสูจน์ว่าเราเดินมาถูกทาง
Q : ฟีเจอร์โฟนเป็นตลาดขาลง
ใช่ เป็นธุรกิจที่ถือว่า sunset แต่เป็น sunset ที่ใหญ่มาก ทั่วโลกยังมีคนใช้งานกว่า 1,000 ล้านเครื่อง และมียอดขายเครื่องใหม่วันละราว 1 ล้านเครื่อง ทั้งปี 400 ล้านเครื่อง ซึ่งเราเป็นเบอร์ 1
ในตลาดนี้ แต่ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งในสมาร์ทโฟน และฟีเจอร์โฟนรุ่น Retro ในตำนานที่จะนำกลับมาทำตลาดใหม่ให้มีลูกเล่นมากขึ้น เพราะมีแฟนคลับที่เฝ้ารอ และ 2 รุ่นที่เปิดตัวไปแล้วอย่าง Nokia 3310 และรุ่นกล้วยหอม 8110 ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ก็กำลังฟังเสียงจากแฟนคลับว่าอยากจะให้ดึงรุ่นไหนกลับมา
Q : แฟนคลับ Nokia คือ คนรุ่นเก่า
ยอมรับว่าแบรนด์ Nokia แข็งแกร่งในกลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุเยอะ ยังไม่โดดเด่นในกลุ่มวัยรุ่นเหมือนคู่แข่ง ก็เป็นความท้าทายที่จะพัฒนาให้ Nokia เป็นคอนซูเมอร์แบรนด์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการฟังเสียงความต้องการของลูกค้าแล้วนำมาพัฒนาให้เป็น your phone ของผู้ใช้ ที่เป็น the best อยู่ตลอดเวลา เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ด้วยราคาสมเหตุสมผล และนึกถึง Nokia เมื่อจะซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาของเรามาตลอดว่า จะทำให้ดีที่สุด และไม่หยุดที่จะพัฒนา ซึ่งในตลาดวัยรุ่นก็มีแนวโน้มดีขึ้น ตอนนี้ลูกค้าที่ซื้อเรา 2 ใน 3 มีอายุต่ำกว่า 35 ปีแล้ว และคนที่เข้าเพจ Nokia ก็มีอายุราว 18-24 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี และทำให้เห็นเทรนด์ที่คนรุ่นใหม่ยอมรับแบรนด์ Nokia มากขึ้น
Q : “อึด ถึก ทน” ก็ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อย
เป็นการเปลี่ยนแนวคิดของอุตสาหกรรม ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง คือ เราปล่อยให้ลูกค้าใช้ Nokia ได้อย่างน้อย 3 ปี แทนที่จะบังคับให้ต้องซื้อเครื่องใหม่ทุก ๆ 18 เดือน เพราะเครื่องเดิมเป็นเวอร์ชั่นเก่าไปแล้ว
โดย Nokia การันตีว่าจะอัพเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เฟิร์มแวร์ ระบบความปลอดภัย ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่ตลอด และไม่ใช่เฉพาะในรุ่นไฮเอนด์เท่านั้น ซึ่งเป็นการกำจัดจุดอ่อน
และปัญหาของผู้ใช้แอนดรอยด์ รวมถึงเป็น Pure Android ที่ไม่ฝังแอปใด ๆ มากับเครื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกเองว่าจะดาวน์โหลดแอปไหนมาใช้ ไม่ต้องทนกับแอปที่ไม่ต้องการ
เกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ทุกรุ่นที่วางขาย เราไม่ทิ้งลูกค้า ยังอัพเดตให้ฟรีและให้เร็วกว่าคู่แข่งด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าว่าจะซื้อเครื่องใหม่ หรือใช้เครื่องเดิมที่อัพเดตให้อยู่แล้ว ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดี
สร้างเครดิตให้แบรนด์ เกิดแบรนด์ลอยัลตี้ และเป็นแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ โดยไม่เสียมาร์เก็ตแชร์ จุดยืนของเรา คือ ไม่ประนีประนอมกับการรักษาคุณภาพ
และทำให้ Nokia ไม่จำเป็นต้องจ้างเซเลบริตี้มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ เพราะแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของเราคือ ลูกค้า ที่จะบอกปากต่อปากในเรื่องที่จริงที่สุด
Q : จะขยายไปแท็บเลต
เราได้สิทธิ์ใช้แบรนด์ Nokia รวมถึงแท็บเลตด้วย แต่ยังมุ่งโฟกัสเฉพาะฟีเจอร์โฟน และสมาร์ทโฟนก่อน เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะการเร่งให้อยู่ใน Top 5 ของตลาดอาเซียน ซึ่งในตลาดเวียดนาม Nokia ติด Top 3 แล้ว แต่ในไทยยัง Top 10การจะก้าวไปได้หมายถึงการมีแผนเปิดตัวรุ่นใหม่เฉลี่ยเดือนละ 1 รุ่น ขยายช่องทางจำหน่าย ทั้งออนไลน์ ค้าปลีกรายใหญ่ และลูกตู้ รวมถึงเน้นตลาดราคาระดับกลางมากขึ้น ที่เป็นแบรนด์ยุโรปเพียง 1 เดียวท่ามกลางแบรนด์จีน
Q : โจทย์ท้าทายของตลาดไทย
ทำให้ตลาดคนรุ่นใหม่เข้าใจถึงข้อดี คุณค่าของ Pure Android มากขึ้น หลังจากทำให้ผู้บริโภครับรู้แล้วว่า Nokia มีสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์แล้ว สร้างการรับรู้ถึงการซัพพอร์ตของเรา ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า
Q : ยังไม่เห็นเตรียม 5G
เราให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม และขยายผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แต่มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึง 5G ในตอนนี้ เพราะปกติเราจะให้ข้อมูลเฉพาะที่รุ่นที่เปิดตัวแล้ว