สาวก Huawei ระส่ำ ยักษ์มะกันเขย่าแบรนด์จีน

เป็นที่แตกตื่นของบรรดาผู้ใช้สมาร์ทโฟน Huawei ทั่วโลก เมื่อสำนักข่าว “รอยเตอร์ส” เผยแพร่รายงานพิเศษระบุว่า สมาร์ทโฟนของ Huawei จะไม่ได้รับการสนับสนุนจาก Google ซึ่งถือสิทธิ์ในสารพัดบริการไฮเทค โดยเฉพาะในส่วนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ด้วยเหตุว่า สำนักงานด้านอุตสาหกรรมและความปลอดภัย (BIS) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกา ขึ้นบัญชีดำ “Entity List” หลังประธานาธิบดี “ทรัมป์” ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ประกาศ “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” ห้ามบริษัทสหรัฐใช้อุปกรณ์เครือข่ายของบริษัทต่างชาติที่เป็นภัยความมั่นคง

ขณะที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของ Huawei เฉพาะปี 2561 มีมากถึง 200 ล้านเครื่องทั่วโลก เติบโต 40% และในประเทศไทยเฉพาะไตรมาส 4/2561 บริษัทวิจัย Canalys ระบุว่า มีมาร์เก็ตแชร์กว่า 13% และมียอดส่งมอบกว่า 645,000 เครื่อง ขณะที่รายได้ทั้งปีโตกว่า 60% จึงไม่น่าแปลกใจว่าจะมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่วิตกกังวลถึงผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้งาน ทำให้ #Huawei กลายเป็นเทรนด์ฮิตในทวิตเตอร์ และกลายเป็นหัวข้อสนทนาสำคัญ ในโซเชียลมีเดียอื่น ๆ

แม้บัญชีทวิตเตอร์ทางการของ Android (@Android) จะออกแถลงการณ์สั้น ๆ ว่าจะยังให้บริการ Google Play และอัพเดตความปลอดภัยจาก Google Play Protect ให้กับอุปกรณ์ Huawei รุ่นปัจจุบันและ “Huawei” เองก็แถลงยืนยันว่า จะยังคงให้บริการอัพเดตซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยและบริการหลังการขายแก่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเลตของหัวเว่ยที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดต่อไป ครอบคลุมถึงโมเดลที่ได้จำหน่ายออกไปแล้วและที่ยังรอการจัดจำหน่ายอยู่ในสต๊อกทั่วโลก พร้อมมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างอีโคซิสเต็มของซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ผู้ใช้ทั่วโลก

ขณะที่ “เหริน เจิ้งเฟย” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Huawei ย้ำชัดก่อนหน้านี้ว่า ข้อจำกัดที่สหรัฐตั้งขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ Huawei มากนัก และหัวเว่ยยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา แม้ว่าจะไม่สามารถซื้อชิปจากซัพพลายเออร์ในสหรัฐ

แต่ก็ยังมีข้อสงสัยถึง “อนาคต” จากนี้ของ Huawei รวมถึงสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนอื่น ๆ ซึ่งเมื่อรวมยอดจำหน่ายเฉพาะแบรนด์ top 5 ในตลาดโลก ณ ไตรมาส 1 ปี 2562 แล้วมียอดขายกว่า 130 ล้านเครื่อง ครองมาร์เก็ตแชร์เกือบ 50% ทั้งตลาด เฉพาะ Huawei มียอดกว่า 59.1 ล้านเครื่อง เติบโตจากปีก่อนกว่า 50% ขณะที่ทั้งตลาดมีปริมาณการจัดส่งสมาร์ทโฟนลดลง 6.6%


รวมถึงต้องจับตาท่าทีของยักษ์ใหญ่ด้านไอทีในแดนอินทรีว่าจะร่วมวงเขย่าแบรนด์จีนในครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน