“หัวเว่ย” ฆ่าไม่ตาย พร้อมจะแข็งแกร่งกว่าเดิม

แม้ว่าบรรยากาศสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ที่มี “หัวเว่ย” เป็นเป้าหมายสำคัญ จะผ่อนคลายลง แต่ในฟากของ “หัวเว่ย” เอง กลับใช้จังหวะนี้ออกมายืนยันว่า “ที่ผ่านมากระทบน้อยมาก” โดยในฝั่งประเทศไทย “อิงมาร์ หวาง” ผู้อำนวยการหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในไทยกระทบน้อย ไม่ถึง 10% และขณะนี้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว

หลังได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิด ทั้งดีลเลอร์และโอเปอเรเตอร์ในไทย รวมถึงได้จัดแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยับแคมเปญ “แกรนด์เซล” ที่ปกติจะจัดในช่วงปลายปี มาจัดช่วงนี้แทน ซึ่งเฉพาะแคมเปญนี้เพิ่มงบฯ กว่า 50% ทั้งยังลงทุนด้านการตลาดครึ่งปีแรกยังเพิ่มขึ้นถึง 40%

“การทำตลาดไม่ควรจะมองแค่ระยะสั้น ๆ เมื่อหัวเว่ยได้กระตุ้นความเชื่อมั่นในทุกช่องทาง ไม่จะเป็นการจับมือกับดีลเลอร์ออกแคมเปญการันตีการใช้งาน แคมเปญตลาดต่อเนื่อง ทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ”

โดยงบประมาณด้านการตลาดทั้งปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 20% จากปีก่อน ซึ่งจะเป็นอัตราปกติที่เพิ่มขึ้นทุกปี

อิงมาร์ หวาง” ยังยืนยันว่า ทั้งในช่วงก่อนหน้านี้และจากนี้ไป การเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่จะยังเดินหน้าตามแผนเดิมทุกอย่าง และผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ยังคงใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เช่นเดิม แม้ว่าการพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ของหัวเว่ยจะถือว่าอยู่ในขั้นที่พร้อมหมดทุกด้านแล้วก็ตาม

แต่คำถามที่ว่า เมื่อพ้นช่วงเวลาการันตี 2 ปี ที่บรรดาดีลเลอร์ “หัวเว่ย” ให้กับผู้ใช้งานแล้ว จะมีอะไรรับประกันว่า สมาร์ทโฟนหัวเว่ยจะยังใช้เทคโนโลยีที่เกิดจากการพัฒนาของบริษัทอเมริกันได้นั้น ได้รับอธิบายว่า

“หัวเว่ยยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกูเกิล ไม่ได้มีปัญหาอะไรระหว่างกัน และยังยินดีที่จะอยู่ในอีโคซิสเต็มนี้ จึงมองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบแผน B ที่เตรียมไว้พร้อมแล้วมาใช้ในตอนนี้ เพราะเมื่อผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอนดรอยด์ทุกอย่างได้ตามปกติ ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จำเป็นหรือเหมาะสมที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ออกมา เพราะในแง่หนึ่งก็เป็นภาระของผู้บริโภคด้วย หากต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์”

ทั้งยืนยันว่า “หัวเว่ย” ยังแข็งแกร่งมากในเอเชีย ขณะที่การสำรวจใน 5 เดือนแรกของปีนี้ ยังมีผู้ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยกว่า 500 ล้านราย และยังมียอดจัดส่งสมาร์ทโฟนไปแล้วถึง 100 ล้านเครื่อง ซึ่งทำได้เร็วกว่าปีก่อนนี้

“เฉพาะในไทย ยอดสั่งจองหัวเว่ย P30 ซึ่งเป็นรุ่นไฮเอนด์ สูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2.5 เท่า มากกว่ายอดสั่งจองไอโฟน”

ขณะที่การลงทุนของหัวเว่ยในไทยยังเดินหน้าต่อเนื่อง ทั้งโครงการทดสอบ 5G วงเงิน 160 ล้านบาท และอีก 700 ล้านบาทในบริการคลาวด์ แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจคอนซูเมอร์ แต่เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการทำตลาดไทย และการให้ความสำคัญกับตลาดไทย โดยในส่วนของธุรกิจดีไวซ์ หัวเว่ยได้ลงทุนขยาย Huawei Experience Store ตามเป้าหมาย 130 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งทำได้ครบแล้วตั้งแต่ครึ่งปีแรก เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคมากขึ้นด้วย


“หลายคนข้องใจว่าทำไมหัวเว่ยแข็งแกร่ง แต่นี่คือเรื่องจริง เรามีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เราฆ่าไม่ตาย ยิ่งเจอสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องทีมตลาดไทยลาออก ก็เป็นการย้ายงานตามปกติ และในบริษัทยังมีทีมไทยอีกหลายคน ไม่ได้กระทบอะไร ปัญหากับดีลเลอร์ต่าง ๆ ก็เป็นข่าวลือ”