ส่อง “สื่อจีน” พลิกรับดิสรัปต์ นโยบายปฏิรูปสื่อ “สี จิ้นผิง”

ท่ามกลางกระแสของดิจิทัลดิสรัปชั่นที่ถาโถมเข้ากระทบทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่สื่อในประเทศจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ข้อเท็จจริงนี้ ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ได้ตระหนักถึงผลกระทบนี้ตั้งแต่เมื่อราว 7 ปีก่อน จึงได้ประกาศแผนแม่บทเกี่ยวกับการทรานส์ฟอร์มสื่อที่รัฐเป็นเจ้าของในกว่า 30 มณฑลทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “สื่อเก่าต้องมีสื่อใหม่-สื่อใหม่ต้องมีสื่อเก่า” ถือเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติ “ประชาชาติธุรกิจ” พาเปิดแนวคิดนี้กับ “เชียน จวิน” รองผู้อำนวยการสถานีวิทยุและโทรทัศน์มณฑลส่านซี

แม้รัฐหนุนก็หนีดิสรัปต์ไม่พ้น

“เชียน จวิน” เปิดเผยว่า สถานีวิทยุและโทรทัศน์มณฑลส่านซี ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2492 ด้วยการควบรวมกิจการวิทยุเข้ากับกิจการโทรทัศน์ ขณะที่เมื่อปี 2554 มีเครือข่ายทั้งสื่อวิทยุและโทรทัศน์อย่างละ 10 สถานี และในปี 2555-2556 ได้เริ่มกระบวนการทรานส์ฟอร์มตามนโยบายของประธานาธิบดี จนปัจจุบันสถานีวิทยุและโทรทัศน์มณฑลส่านซี เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และสื่อใหม่อื่น ๆ รวมกว่า 200 ช่องทาง รวมจำนวนผู้รับชมกว่า 5 ล้านครัวเรือน และมีสมาชิกกว่า 30 ล้านติดตามผ่านช่องทางออนไลน์

“แม้จะก่อตั้งมานาน และมีงบประมาณจากรัฐบาล แต่รายได้ส่วนใหญ่ก็มาจากค่าโฆษณาที่หาได้เอง ซึ่งสถานการณ์ของสื่อจีนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ต่างจากไทยหรือทั่วโลกนัก เพราะอินเทอร์เน็ตรุกคืบเข้ามาส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ทุกคนพยายามไปออนไลน์”

ปัจจุบันมีคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้กว่า 800 ล้านคน กว่า 90% ใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ทำให้ “สิ่งพิมพ์” ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ส่วน “ทีวี” ของจีนมียอดรับชมลดลงปีละ 20% แต่ในฝั่ง “สื่อวิทยุ” ที่เคยถดถอยเมื่อมีทีวี พลิกกลับมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายรถยนต์ที่เติบโตขึ้น

ADVERTISMENT

ขณะที่การมาของเทคโนโลยี 5G จะทำให้การรับ-ส่ง “ข้อมูล” เสถียรมากขึ้น แม้จะอยู่บนพาหนะที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว จึงจะทำให้ผู้บริโภคจะสามารถรับสื่อผ่านอินเทอร์เน็ตได้ดียิ่งขึ้น โดยประเมินว่า ภายในปีหน้าการใช้งาน 5G ของจีนจะแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างแน่นอน

แพลตฟอร์มต้องใช้ให้ถูกวิธี

ADVERTISMENT

และด้วยจำนวนช่องทางเผยแพร่เนื้อหาที่มีกว่า 200 ช่องทาง ทำให้การผลิตคอนเทนต์ต้องพัฒนาให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์มด้วย เช่น การนำเสนอผ่านโซเชียลมีเดีย จะเหมาะกับการสื่อสารด้วยรูปภาพมากกว่าตัวหนังสือ หรือการใช้แอปพลิเคชั่นแชตให้เกิดประโยชน์ในการนำเสนอข่าวสารโดยตรง เช่น WeChat (วีแชต)

ขณะที่การกระจายคอนเทนต์ในแต่ละครั้ง คาดว่าอย่างน้อยจะมีผู้ได้รับสารประมาณ 15 ล้านคน/ครั้ง และเนื่องจากการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น ส่งผลให้มีชาวต่างชาติเข้ามาในมณฑลมากขึ้น ดังนั้น จึงทำเว็บไซต์ข่าวเป็นภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งปัจจุบันที่มีผู้เข้าชมราว 2 หมื่นคน

ต้องผสานเป็นหนึ่งเดียว

แม้ว่าสื่อใหม่จะมีบทบาทมากขึ้นทุกวัน แต่สื่อดั้งเดิมยังคงมีความสำคัญ เพราะสื่อเก่าก็มีจุดแข็งของตัวเอง และยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คุ้นชินกับสื่อยุคเก่า ดังนั้น จึงไม่ใช่ “แทนที่” ด้วยการตัดทิ้งและทุ่มเทไปกับสื่อใหม่อย่างเดียว แต่ต้องผสานสื่อ 2 ยุคเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

นอกจากนี้ตามนโยบายของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” มองว่าสื่อ “ต้องอิสระและใช้ทุกแพลตฟอร์มอย่างคล่องตัว” ทั้งแนวทางการทรานส์ฟอร์มจะต้องลงลึกทั้งในระดับประเทศ ระดับมณฑล ระดับเมือง จนถึงระดับอำเภอ โดยภาครัฐได้ให้งบประมาณในการทรานส์ฟอร์มกับแต่ละมณฑลราว 50 ล้านหยวน

โดยการทรานส์ฟอร์มจะแบ่งเป็น 3 เฟส คือ 1.”คุณคือคุณ เราคือเรา” แยกการทำงานระหว่างสื่อแขนงต่าง ๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน

2.”ในเรามีคุณ ในคุณมีเรา” เป็นการผสมผสานสื่อต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และ

3.”คุณคือเรา และเราคือคุณ” หมายความว่า การดำเนินของสื่อแขนงต่าง ๆ จะถูกขมวดรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวจนแยกกันไม่ออก

โดยทางสถานีได้สร้างโครงข่ายของสื่อในการแบ่งปันข่าวสารจากผู้อ่านภายนอกเพื่อให้คอนเทนต์มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย จนลงลึกถึงระดับอำเภอ และผู้สื่อข่าวจะต้องสามารถใช้สื่อใหม่ได้ทั้งหมด

“การทรานส์ฟอร์มของเราดำเนินมาถึงเฟสที่ 2 โดยได้สร้างโครงข่ายได้ครอบคลุมเพียงแค่ 40 อำเภอเท่านั้น แต่ก็คาดว่าภายใน 2 ปีนับจากนี้ จะครอบคลุมได้ครบทั้ง 107 อำเภอ และเมื่อเครือข่ายแข็งแรง เราอาจจะพัฒนาเป็นการหารายได้นอกจากโฆษณา โดยให้บริการแพลตฟอร์มกับหน่วยงานรัฐหรือเอกชนอื่น ๆ”

ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นศัตรู

แม้สื่อจีนจะมีรัฐเป็นเจ้าของ ที่จะต้องทำงานตามพันธกิจ 3 ด้าน 1.ให้บริการข้อมูลและข่าวสาร 2.ให้บริการด้านปกครองจากภาครัฐสู่ภาคประชาชน และ 3.ให้บริการแก่ประชาชน ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ แต่สื่อจีนก็สามารถนำเสนอข่าวสารในลักษณะของการตรวจสอบรัฐบาลและส่วนราชการต่าง ๆ ได้

แต่ต้องเป็นไปในลักษณะของการตรวจสอบเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เป็นศัตรูกับทั้งรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์

“แม้ว่าเราจะเป็นสื่อใหญ่ของมณฑล แทบไม่มีคู่แข่ง แต่เราไม่เน้นไปที่การสร้างผลกำไร แต่เป็นไปเพื่อตอบสนองการบริหารจัดการของรัฐบาล และการให้บริการประชาชนมากที่สุด ซึ่งรัฐบาลไม่ปิดกั้นการตรวจสอบ หากเป็นไปเพื่อสร้างธรรมาภิบาลและการเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์”