ในยุคที่ “โฆษณา” แบบเดิมไร้ผล “อินฟลูเอนเซอร์” จึงกลายเป็นกลยุทธ์ที่ทุกแบรนด์ให้ความสำคัญ
“อนุพงศ์ จันทร” ผู้บริหาร Revu แพลตฟอร์มด้านการรีวิวสินค้าและบริการในเครือ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ระบุว่า ปี 2017 เกิดการทำตลาดโดย influencer รีวิวสินค้า แต่พอปี 2018 ผู้บริโภคเริ่มจับได้ว่าเป็นการจ้าง จึงเกิดการทำตลาดโดย macroinfluencer และปี 2019 การรีวิวลงลึกในระดับ microinfluencer เพราะผู้บริโภคต้องการหารีวิวจากผู้ใช้จริง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ปัจจุบันมีผู้บริโภคเพียง 14% ที่เชื่อถือโฆษณา 20% เชื่อถือดารา แต่ 92% จะเชื่อถือรีวิวจากบุคคลทั่วไป
ข้อมูลที่มากกว่าแบรนด์
การทำการตลาดออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ จึีงต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.สร้างอะแวร์เนสโดยใช้เซเลบ ดารา ที่มียอดผู้ติดตามมาก 2.ใช้พาวเวอร์อินฟลูเอนเซอร์ให้ข้อมูลสินค้าที่มากกว่าแบรนด์ให้ และ 3.ใช้ macro หรือ microinfluencer ในการรีวิวสินค้า
ปัจจุบันคนเห็นโฆษณาจะเสิร์ชทันที และคอนเทนต์ที่คนเชื่อ คือ คอนเทนต์ที่ดูจริงที่สุด ไม่โฆษณา ยิ่งตัดต่อน้อยยิ่งดี แต่ microinfluencer ไม่ได้ช่วยปิดการขาย แค่เป็นตัวช่วยสุดท้ายก่อนตัดสินใจซื้อ
“พฤติกรรมผู้บริโภคมี 3 เสิร์ช 1.เสิร์ชหาแบรนด์ ทั้งบนเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก 2.หาบล็อกเกอร์ดังว่ามีรีวิวไหม แต่จะยังไม่เชื่อ 3.จะเสิร์ชหาคนใช้จริงหรือไม่โครอินฟลูเอนเซอร์ จะใช้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง จะไม่ประสบความสำเร็จ ต้องการวางกลยุทธ์ต้องร่วมกัน ซึ่งสิ่งท้าทายของแบรนด์ในปัจจุบัน คือ ความเข้าใจการใช้งานอินฟลูเอนเซอร์แต่ละประเภท”
มีมากแล้วแต่ยังไม่พอ
เทรนด์ของอินฟลูเอนเซอร์มีแนวโน้มอายุลดลงเรื่อย ๆ ปัจจุบันเฉลี่ยที่ 15-45 ปี และยังมีจำนวนเติบโตต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของแบรนด์
และด้วยจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ที่มากขึ้น จึงเกิดการแข่งขันในวงการเพื่อสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์
ทั้งนี้ ระดับของอินฟลูเอนเซอร์จะแบ่งตามผู้ติดตาม 1.ดารา เซเลบ มีผู้ติดตามหลักล้านคนขึ้นไป ในตลาดมีราว 500 ราย 2.power influencer มีผู้ติดตามหลักแสนถึงหลักล้าน โดยในตลาดมีราว 15,000 ราย แบ่งเป็น Facebook page, Net Idol และ Blogger 3.peer influencer หรือ macroinfluencer มีผู้ติดตามหลักหมื่นถึงหลักแสน มีราว 1 หมื่นราย และ 4.microinfluencer มีผู้ติดตามหลักพันถึงหลักหมื่น มีราว 1 ล้านราย
“แม่และเด็ก” มาแรง
สำหรับสินค้าที่รีวิวและขายได้ง่ายส่วนใหญ่จะมีราคาต่ำกว่า 200 เหรียญสหรัฐ (ราว 6,200 บาท)
โดยสินค้าที่มีการรีวิวมากที่สุด สินค้าหมวดบิวตี้, ไลฟ์สไตล์, และแก็ดเจตต่าง ๆ
ส่วนกลุ่มที่กำลังเติบโต คือ สินค้าแม่และเด็ก กับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย ซึ่งกลุ่มนี้หาอินฟลูเอนเซอร์รีวิวยาก เพราะมีจำนวนผู้ที่มีลูกมีน้อย และผู้ชายไม่ค่อยชอบทำรีวิว
เทรนด์อินฟลูเอนเซอร์ยังคงเติบโต เพราะคนไม่เชื่อโฆษณา ส่งผลให้ราคาการจ้าง influencer มีอัตราการเฟ้อถึงปีละ 20-30% โดยเฉพาะในกลุ่ม power influencer ที่มีราคาจ้างหลักแสนขึ้นไป
“แค่หยิบ จับ ถือ ใช้ ราคาก็ไม่เหมือนกัน แต่ต่อไปกลุ่ม Net Idol จะหายไป เพราะแค่หยิบรูปสินค้ามาถ่ายไม่ได้อธิบายอะไร”
สิ่งที่จะทำให้อินฟลูเอนเซอร์อยู่ได้ คือ ความจริงใจ ความเรียลสำคัญสุด ไม่ว่าจะเป็น influencer ในระดับไหน
รับอานิสงส์ขยายสู่ 6 ประเทศ
ด้วยการเติบโตข้างต้นทำให้ภาพรวม “เรวู” ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโต 2 หลักต่อเนื่องทุกปี โดยปีที่ผ่านมารายได้เติบโต 40% ปัจจุบันมีสินค้ากว่า 500 แบรนด์ที่ใช้งาน มีรีวิวแล้วกว่า 18,000 ชิ้น ผ่าน 166 แคมเปญ 1,479 โปรดักต์ มีนักรีวิวกว่า 11,000 คน 77% เป็นเพศหญิง อายุประมาณ 18-34 ปี โดยบริษัทตั้งเป้าในสิ้นปีนี้มีนักรีวิว 15,000 คน รายได้เติบโต 30%
ล่าสุดได้ร่วมกับแพลตฟอร์ม sellzabuy.com ของวายดีเอ็มเพื่อช่วยนักรีวิวในการนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างสะดวกมากขึ้น โดยผู้รีวิวจะได้ส่วนแบ่งจากยอดขายด้วย ปัจจุบันค่าบริการอยู่ที่ 45,000 บาท/แคมเปญ จะมีรีวิว 10 คน มียอดเพจวิวประมาณ 10,000 วิว/เดือน
ทั้งยังตั้งเป้าขยายตลาดในระดับภูมิภาคภายใต้ชื่อ Revu Family จะเปิดบริการใน 6 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้, ประเทศไทย, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมนักรีวิวบนแพลตฟอร์มกว่า 500,000 คน ช่วยให้แบรนด์ที่ต้องการบุกตลาดต่างประเทศสามารถเข้าถึงไมโครอินฟลูเอนเซอร์ของประเทศนั้น ๆ ได้อย่างสะดวกขึ้น
เทรนด์การใช้ไมโครอินฟลูเอนเซอร์เป็นเหมือนกันทั้งอาเซียน แต่อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละประเทศ เช่น ไทยเน้นรีวิวผ่านบล็อก แต่ในเวียดนามนิยมรีวิวผ่านเฟซบุ๊ก หรือไต้หวันที่นิยมรีวิวผ่านอินสตาแกรม
“และตอนนี้เริ่มมีการทำตลาดข้ามประเทศแล้ว โดยไทยสนใจตลาดเวียดนาม เกาหลีสนใจตลาดไทย ส่วนใหญ่เป็นบิวตี้โปรดักต์”