“หัวเว่ย” ประณามสหรัฐยาวเหยียด! ย้ำไม่มีบริษัทใดขึ้นเป็นผู้นำได้ด้วยการ “ขโมย”

ยังคงเป็นศึกที่ยืดเยื้อ สำหรับสงครามทางการค้าระหว่าง “จีน-สหรัฐอเมริกา” และแน่นอนว่า “หัวเว่ย” ได้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญอีกครั้ง ล่าสุด เมื่อ 30 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล ได้รายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังสอบสวน “หัวเว่ย” เรื่องสิทธิบัตรของกล้องในสมาร์ทโฟน โดยกล่าวหาว่า กล้องพาโนรามา EnVizion 360 ของ “หัวเว่ย” ได้ขโมยเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นโดย “รุย เปโดร โอลิวิเอรา

ล่าสุด “หัวเว่ย” ได้ออกแถลงการณ์ในนามของ “บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ จำกัด” ปฏิเสธข้อกล่าวหา และชี้แจงข้อเท็จจริง

โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2557 ตัวแทนจากบริษัทย่อยของหัวเว่ยในสหรัฐฯ ได้พบกับ “รุย เปโดร โอลิวิเอรา” ตามคำขอพบของนายโอลิวิเอรา ในการประชุมครั้งนั้นเขาได้นำเสนอดีไซน์กล้องแก่ตัวแทนของหัวเว่ย และอ้างว่าดีไซน์ดังกล่าวกำลังรอการอนุมัติสิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกาอยู่ แต่หัวเว่ยไม่ได้นำดีไซน์ของเขาไปใช้

และในปี 2560 หัวเว่ยได้เริ่มจำหน่ายกล้องพาโนรามา EnVizion 360 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและพัฒนาโดยพนักงานของหัวเว่ย ที่ไม่เคยทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับงานดีไซน์ของนายโอลิวิเอราเลย

“และกล้องของหัวเว่ยนั้นมีเลนส์ที่ขยายไม่ได้ทั้งสองด้าน โดยออกแบบมาเพื่อการถ่ายภาพพาโนรามา ซึ่งแตกต่างจากกล้องเลนส์เดี่ยวที่ขยายได้ของนายโอลิวิเอรา”

ขณะนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2561 และต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมีนาคม 2562 นายโอลิวิเอรา เริ่มส่งอีเมลถึงหัวเว่ย โดยอ้างว่า EnVizion 360 ละเมิดสิทธิบัตรสหรัฐฯ ของเขา ซึ่งในอีเมลมีข้อความข่มขู่ และกล่าวว่าหากหัวเว่ยไม่จ่ายเงินในจำนวนมหาศาลให้แก่เขา เขาจะนำเรื่องนี้ไปบอกสื่อมวลชนและกดดันหัวเว่ยผ่านช่องทางที่อาศัยการเมือง

แม้ว่า หัวเว่ยปฏิเสธคำกล่าวอ้างว่าบริษัทละเมิดสิทธิบัตร แต่นายโอลิวิเอรา ยังคงให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่สื่อ โดยหวังที่จะทำลายชื่อเสียงของหัวเว่ย และยังได้พยายามกดดันหัวเว่ยผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอีกด้วย เพื่อให้หัวเว่ยยอมจำนนและจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้แก่เขา

ต่อมาเมื่อ 26 มีนาคม 2562 หัวเว่ยได้ยื่นคำร้องต่อศาลสหรัฐฯ เพื่อปกป้องสิทธิและประกาศการไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ แต่นายโอลิวิเอรา ปฏิเสธที่จะรับเรื่องร้องเรียนและไม่ปรากฏตัวตามหมายนัดศาล ซึ่งส่งผลให้กระบวนการในศาลล่าช้า

เห็นได้ชัดว่านายโอลิวิเอรา กำลังใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ในขณะนี้ เขากำลังพยายามให้ข้อมูลเท็จผ่านสื่อเพื่อฉวยโอกาสจากความตึงเครียดทางการเมือง ณ ตอนนี้ เราไม่ควรส่งเสริมการกระทำในลักษณะนี้ อีกทั้งยังไม่ควรมองว่าการสืบสวนอาชญากรรมโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เป็นเรื่องที่สมควรทำ”

REUTERS/Dado Ruvic/Illustration/File Photo

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลทางการเมืองและการทูตเพื่อโน้มน้าวรัฐบาลประเทศอื่นๆ ให้กีดกันอุปกรณ์จากหัวเว่ย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังใช้ทุกวิถีทางที่มี อันรวมถึงอำนาจในการบริหารและอำนาจศาล ตลอดจนวิธีที่ไม่ซื่อตรงมากมาย เพื่อขัดขวางการดำเนินธุรกิจที่ราบรื่นของหัวเว่ยและพันธมิตร การกระทำที่ไม่ซื่อตรงเหล่านั้น ได้แก่

1.ออกคำสั่งให้ผู้มีอำนาจทางกฎหมาย ทำการข่มขู่ คุกคาม บีบบังคับ หลอกลวง และปุกปั่นพนักงานและอดีตพนักงานของหัวเว่ย ให้ทรยศบริษัทและทำงานให้สหรัฐฯ แทน

2.ทำการค้น กักขังหน่วงเหนี่ยว หรือแม้กระทั่งจับกุมพนักงานหัวเว่ย และพันธมิตรของบริษัท

3.พยายามล่อให้เกิดการกระทำผิดหรือแสร้งว่าเป็นพนักงานหัวเว่ยเพื่อทำการปลอมแปลงทางกฎหมายเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างที่โจมตีหัวเว่ยซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

4.เริ่มการโจมตีในโลกไซเบอร์เพื่อแทรกซึมเข้ามาในอินทราเน็ตและระบบสารสนเทศภายในของหัวเว่ย

5.ส่งเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไปที่บ้านของพนักงานหัวเว่ยและกดดันให้พวกเขาเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท

6.ดำเนินการประสานงานและคบคิดกับบริษัทที่ทำงานร่วมกับหัวเว่ย หรือบริษัทที่มีข้อขัดแย้งทางธุรกิจกับหัวเว่ย เพื่อตั้งข้อกล่าวหาต่อหัวเว่ย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่พิสูจน์ไม่ได้

7.เริ่มการสืบสวนโดยอิงจากรายงานสื่ออันเป็นเท็จ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อโจมตีบริษัท

8. ขุดคดีเก่าๆ ที่ได้รับการพิพากษาไปแล้ว และเลือกที่จะสวบสวนคดีอาชญากรรมหรือยื่นฟ้องหัวเว่ยในคดีอาญา โดยอาศัยคำกล่าวอ้างเรื่องการขโมยเทคโนโลยี

9.ขัดขวางการดำเนินธุรกิจและการสื่อสารทางเทคนิคที่เคยเป็นปกติเรียบร้อย โดยใช้วิธีข่มขู่ การปฏิเสธวีซ่า และการยับยั้งการจัดส่งผลิตภัณฑ์ และวิธีอื่นๆ

“ที่ผ่านมา ก็ไม่มีคำกล่าวหาใดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ เราขอประณามความพยายามใส่ร้ายป้ายสีโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อลดความน่าเชื่อถือและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของหัวเว่ย”

ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนา เรามีพนักงานที่ขยันขันแข็งกว่า 180,000 คนทั่วโลก และได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนจากลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพันธมิตรมากมาย

“กลุ่มคนเหล่านี้ทำให้บริษัทของเราประสบความสำเร็จ และไม่มีบริษัทใดในโลกที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ผ่านเส้นทางที่อาศัยการโจรกรรม”