“เอไอเอส มุ่งดิจิทัลไลฟ์ สลัดภาพบริษัทมือถือ-กดปุ่ม 5G

ครบรอบ 29 ปีเต็ม เข้าสู่ปีที่ 30 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา จากบริษัทมือถือขยับมาเป็น “ดิจิทัลไลฟ์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์” ยกระดับองค์กร 360 องศา จากวิสัยทัศน์ของซีอีโอคนปัจจุบัน “สมชัย เลิศสุทธิวงค์” ตั้งแต่รับตำแหน่งใหม่ ๆ เมื่อ 5 ปีก่อน อาจเพราะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีตลอดเวลาจึงมองออกว่า ไม่เปลี่ยนวันนั้น “วันนี้” ก็คงจะเหนื่อยกว่านี้อีกมาก เพราะชัดเจนว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมากในอัตราเร่งที่รวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

เรียกได้ว่าเปลี่ยนก่อนที่กระแส “ดิจิทัลดิสรัปชั่น” จะสำแดงฤทธิ์เดชเขย่าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้ซวดเซอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้กล้าเปลี่ยนในจังหวะที่องค์กรแข็งแรงอย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่าไม่ง่าย

“ทั้งทีมผู้บริหารและพนักงานของเราพร้อมที่จะมุ่งมั่นผลักดัน และสร้างสรรค์บริการดิจิทัลไลฟ์ที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า และสนับสนุนสังคมไทยก้าวผ่านทุกความท้าทายในยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น” ซีอีโอสมชัยย้ำ

แน่นอนว่า ถ้าไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองก่อนตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ถึงวันนี้ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 30 คงพูดแบบนี้ได้ไม่เต็มปาก

ซีอีโอ “สมชัย” ประกาศด้วยว่า หลังจากให้บริการมา 29 ปี ที่ผ่านมาลงทุนไปกว่า 1 ล้านล้านบาท และว่าสิ่งที่อยากจะให้คำมั่นสัญญากับลูกค้าคือ

“ไม่ว่าในโลกนี้จะมีเทคโนโลยีอะไรที่ดี เราจะนำมาให้ลูกค้า ล่าสุดที่มีการพูดถึง 5G เราก็จะมีให้ลูกค้าใช้เช่นกัน”

ครบ 29 ปีเต็ม ทั้งที “เอไอเอส” จัดแคมเปญตอบแทนลูกค้ากว่า 42 ล้านรายแบบจัดเต็ม โดยขยายความร่วมมือกับพันธมิตรร้านค้าชั้นนำ 1,918 แบรนด์ ที่มีสาขารวม 27,155 ร้านทั่วประเทศ ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ กับลูกค้าผ่านโครงการ “เอไอเอส พอยท์” ตลอดเดือน ต.ค.

โดยเอไอเอส พอยต์ 1 พอยต์ จะแลกรับสิทธิพิเศษได้ทุกวัน ทั้งยิ่งอยู่นานก็จะได้รับพอยต์เพิ่ม เช่น ใช้บริการน้อยกว่า 10 ปี รับพอยต์ 30 พอยต์, มากกว่า 10 ปี รับ 60 พอยต์ และกว่า 20 ปี รับ 90 พอยต์ (ปกติลูกค้าจะได้รับพอยต์จากการใช้งาน 25 บาท เท่ากับ 1 พอยต์) เพื่อนำไปแลกรับสิทธิพิเศษ

และนอกจากเดินหน้าตอกย้ำจุดยืนในการเป็นบริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนาเครือข่ายและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสและขีดความสามารถใหม่ ๆ ให้ประเทศไทยแล้วยังประกาศเชิญชวนคนไทยร่วมภารกิจเพื่อความยั่งยืน “Mission Green 2020” มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการ e-Waste รณรงค์ให้คนไทยนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ มาทิ้งเพื่อเข้าสู่การกำจัดอย่างถูกวิธีด้วย

โดย “เอไอเอส” จะผลิตถังขยะอัจฉริยะ IOT สำหรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้บริโภคมาทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่ถังขยะ e-Waste ที่ตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ อาทิ AIS Shop และศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล และในอนาคตจะกระจายไปยังมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยขยะจากถังจะนำไปจัดการ และทำลายอย่างถูกวิธี ด้วยกระบวนการ Zero landfill (กระบวนการจัดการขยะ ทำให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ให้เกิดมูลค่าได้อีก)

“เอไอเอส” ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2020 จะสามารถช่วยลดค่า co2 (คาร์บอนไดออกไซด์) ได้ 1 ล้าน kgco2e และจัดการกับขยะ e-Waste ได้ 1 แสนชิ้น

“ตั้งแต่สถานีฐานจนถึงถุงที่เราใช้ต่อไปจะคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นก็ตามเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม”

“สมชัย” กล่าวอีกว่าสำหรับเอไอเอสถือเป็นความภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ให้อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศมาเกือบ 3 ทศวรรษ แม้จะเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีมากี่ยุคจากแอนะล็อก สู่ยุค NEXT G และพร้อมก้าวสู่เทคโนโลยี 5G

ซึ่งตลอด 29 ปีที่ผ่านมา ได้ทุ่มเทวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานด้าน digital infrastructure ให้ประเทศไทยมาต่อเนื่อง ด้วยเงินลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท และจะเดินหน้าพัฒนาต่อเพื่อร่วมสนับสนุนการเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศท่ามกลางการแข่งขันในเวทีโลก


และในฐานะ Good Citizen ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจุดประกายสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการผลักดันรณรงค์เรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านโครงการ e-Waste และท่ามกลางกระแส digital disruption ก็เป็นโอกาสที่เราจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศได้ ซึ่งต้องพลิกวิธีคิด วิธีทำงาน วิธีมองใหม่เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้วย