สร้างความ “เชื่อมั่น” ภารกิจดันไทยสู่สังคมไร้เงินสด

อีกหนึ่งพื้นที่ของงาน “Digital Thailand Bigbang 2019” ได้เปิดให้แบรนด์แถวหน้าในธุรกิจการเงินได้แชร์มุมมองผ่านเวทีเสวนา “สังคมไร้เงินสดในไทย ใกล้เป็นจริงหรือแค่ความหวัง”

โดย “วรฉัตร ลักขณาโรจน์” กรรมการผู้จัดการ GrabPay ประเทศไทย เปิดประเดิมมุมมองว่าการชำระเงินด้วย “เหรียญ-ธนบัตร” สร้างต้นทุนให้ประเทศ คิดเป็นมูลค่า 2 แสนล้านบาท/ปี ฉะนั้น “สังคมไร้เงินสด” จะช่วยลดต้นทุนในส่วนนี้ได้ ซึ่งได้เห็นแนวโน้มการใช้เงินสดน้อยลงเรื่อย ๆ ในเมืองใหญ่

แต่ในบางประเทศกว่าจะสำเร็จได้ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี ประเทศไทยจึงต้องรอเวลา เพื่อเป้าหมาย “เลิกใช้เงินสด” ที่เป็นความท้าทายใหญ่

“ตอนนี้โครงสร้างพื้นฐานยังโตไม่ทัน เกือบทุกเดือนระบบธนาคารมีความตะกุกตะกัก ทำให้คนที่อยากลองใช้เขาเบื่อ ในมุมผู้ประกอบการมองว่าระบบไม่ต้องสร้างเยอะ แต่ต้องเสถียร เปิดมาต้องใช้งานได้ เพื่อให้คนใช้แพร่หลาย ทำอย่างไรให้คนเห็นว่ามีแต่ข้อดีไม่ต้องกังวล สาระสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นที่ดีให้ผู้บริโภค”

แคชเลสไม่ใช่แค่ลดต้นทุน

“วิศิษฎ์ ยินดีสิริวงศ์” ผู้จัดการโอมิเซะ (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการเพย์เมนต์เกตเวย์ กล่าวว่า การก้าวสู่สังคมไร้เงินสดมีประโยชน์ทั้งในแง่ต้นทุน การรักษาความปลอดภัย ทั้งยังสามารถเก็บดาต้าเพื่อตรวจสอบที่มาที่ไป และนำไปใช้วิเคราะห์ต่อได้

ADVERTISMENT

“แคชเลสช่วยให้ประเทศพัฒนาและรุดหน้าต่อไปเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศ แต่ หัวใจสำคัญคือ แก้ปัญหาอะไร ซึ่งเคสตัวอย่างของแต่ละประเทศก็ต่างกัน อาทิ ประเทศจีนและสหรัฐอเมริกามีปัญหาแบงก์ปลอม ดังนั้น การโอนให้กันมีความน่าเชื่อถือมากกว่า อย่างร้านค้าออนไลน์ไทยส่วนใหญ่รับชำระปลายทาง แต่ตอนนี้หลายร้านพยายามหาช่องทางการรับพร้อมเพย์ บัตรเครดิตมากขึ้นเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการขาย จึงไม่ใช่แค่ประโยชน์ในมุมผู้บริโภค”

อีก 5 ปี คนไทยใช้ 60%

ADVERTISMENT

“วรรณา นพอาภรณ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จำกัด ผู้ให้บริการรับส่งข้อมูลธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ระบุว่า การที่ไทยจะเป็นสังคมไร้เงินสด น่าจะเป็นการตั้งความหวังมากเกินไป เพราะแม้แต่สวีเดนที่ประกาศเป็นประเทศสังคมไร้เงินสด แต่ 15% ก็ยังใช้เงินสดอยู่

“ปัจจุบันการใช้จ่ายผ่านอีเพย์เมนต์ไทยคิดเป็น 24% เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากเพียง 2% เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ถ้าตั้งเป้าสัดส่วนสัก 60% เชื่อว่าอีก 5 ปีเป็นไปได้”

แต่ความไม่ไว้ใจระบบ คืออุปสรรคหลัก เช่น พร้อมเพย์ ที่แรก ๆ ไม่มีคนกล้าใช้เพราะต้องผูกข้อมูลเลขบัตรประชาชนและเบอร์โทรศัพท์ จะผ่านไปได้คือต้องฟังทุกความเห็นเพื่อปิดช่องว่างทั้งหมด

นอกจากนี้ ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนต้องช่วยกัน เช่น สรรพากรคืนภาษีผ่านพร้อมเพย์เท่านั้น หรือโครงการชิม ช้อป ใช้ ทำให้คนรู้จักการใช้งานวอลเลตถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้ใช้งานทั้งทั่วไปและห้างร้าน

“แต่ข่าวว่าจะตรวจสอบทรานแซ็กชั่นเพื่อเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซ ทำให้ยอดใช้อีเพย์เมนต์กระตุกทันที”

ฉะนั้นเป้าหมายสำคัญตอนนี้คือ “ต่อสู้กับเงินสด” ซึ่งยังมีการใช้งานถึง 76% แต่สุดท้ายแล้ว “ผู้บริโภค” คือ ผู้ชนะ จากการมีตัวเลือกในการใช้บริการที่หลากหลาย

ต่อยอดทรานแซ็กชั่น

“อภินันท์ ดาบเพ็ชร” ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจ Wallet จาก TrueMoney Wallet เปิดเผยว่า ทรูเปิดบริการมาได้ 6 ปี งานที่ไม่เปลี่ยนคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้คนมาใช้สร้างทรานแซ็กชั่นได้ และต่อยอดในอนาคต อย่างจากฐานลูกค้าก็มีการ เสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจเฉพาะคน ขั้นต่อไปคือ เสนอบริการทางการเงิน เช่น เงินกู้ ประกันในรูปแบบไมโครเครดิตเพย์ ปล่อยกู้ SMEs วงเงิน 5,000-20,000 บาท