สตาร์ตอัพ “ปัญหา” ทำ “เงิน” : Hammer & Nails ร้านทำเล็บสำหรับหนุ่ม ๆ

ภาพจาก Facebook : Hammer & Nails Grooming Shop For Guys

คอลัมน์ สตาร์ตอัพปัญหาทำเงิน
โดย มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ

ในขณะที่สาว ๆ หาร้านทำเล็บได้ง่าย พอ ๆ กับการมองหาเซเว่นฯหน้าปากซอย หนุ่ม ๆ จำนวนไม่น้อยได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ หลายคนอาจถามว่าแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน? ผู้ชายเขาไม่สนเรื่องแบบนี้หรอก

แต่คุณคะ โลกเรามันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ

ทุกวันนี้ตลาดสินค้า men’s grooming โตวันโตคืน ทั้งของใช้ในห้องน้ำไปจนถึงที่ครีมบำรุง แป้งพัฟ คอนซีลเลอร์ มาสก์หน้า “manscara” เจลแต่งคิ้ว และฟิลเลอร์เติมหนวด อเมริกาประเทศเดียวมีมูลค่าปีละ 2 หมื่นล้านเหรียญ และคาดว่าตลาดทั่วโลกน่าจะทะลุ 4.3 แสนล้านเหรียญในอีก 3 ปีข้างหน้า จึงไม่ใช่เรื่อง

แปลกที่เดี๋ยวนี้ผู้ชายจะชอบทำเล็บมากขึ้น และหนึ่งในนั้นคือ “ไมเคิล แอลเลีย” หนุ่มใหญ่วัย 50 อดีตนักเขียนบทหนังมือดีของฮอลลีวูด เจ้าของผลงานอย่าง Brown Sugar และ Just Wright

ปัญหาของ “ไมเคิล” คือ การที่ชายฉกรรจ์ ผิวดำ ร่างสูงใหญ่อย่างเขาต้องเดินเข้าไปในร้านและตกเป็นเป้าสายตาของสาว ๆ ที่เงยหน้ามองมาอย่างระแวดระวัง มันช่างให้ความรู้สึกผิดที่ผิดทางอย่างบอกไม่ถูก เขาได้แต่หวังว่าสักวันจะมีใครเปิดร้านทำเล็บสำหรับผู้ชายขึ้นมาสักที

หลังจากรอมานานสองนาน ไม่มีใครทำสักที เขาจึงตัดสินใจทำเอง โดยเปิดร้านทำเล็บสำหรับผู้ชายชื่อ Hammer&Nails ในลอสแองเจลิส เมื่อ 4 ปีก่อน

จุดขายของ Hammer & Nails เน้นให้บริการทำเล็บแบบมืออาชีพสำหรับผู้ชาย ในราคาสบาย ๆ พร้อมบรรยากาศผ่อนคลายแบบแมน ๆ

การตกแต่งร้านเน้นโทนขรึม เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม เก้าอี้หนังอาร์มแชร์ตัวใหญ่มีทีวีส่วนตัวพร้อมหูฟังให้นั่งทำเล็บไปดูรายการโปรดไป แถมยังได้ละเลียดสกอตช์วิสกี้เบา ๆ คนละ 1 แก้ว

เป็นสวรรค์แห่งการพักผ่อนของผู้ชายโดยแท้ สนนราคาเริ่มต้นที่ 23 เหรียญ สำหรับทำเล็บมือถ้ารวมเล็บเท้าด้วยก็ 55 เหรียญ แต่สมัครสมาชิกได้ส่วนลด 20%

เปิดร้านไปได้ไม่นาน “ไมเคิล” ก็สมัครไปออกรายการเรียลิตี้ชื่อดัง Shark Tank ที่ให้สตาร์ตอัพหน้าใหม่นำเสนอไอเดียธุรกิจ “ไมเคิล” กะว่าจะขอเงินทุนสัก 2 แสนเหรียญมาทำแฟรนไชส์ แต่ปรากฏว่าไม่มีนักลงทุนคนไหนซื้อ

ไอเดียเขาเลย เพราะคิดว่าเร็วไปแต่หลังออกอากาศ มีคนดูกว่า 800 คน ติดต่อเข้ามาขอข้อมูลทำแฟรนไชส์ ทำเอา “ไมเคิล” ตั้งตัวไม่ติด เพราะยังไม่มีระบบอะไรเป็นรูปเป็นร่าง เลยเสนอให้คนดูเป็นนักลงทุนแทนเสียเลย

สรุปมีคนดูที่อัพสถานะเป็นนักลงทุน 7 คน มี 6 คน ที่ลงทุนคนละ 2.5 แสนเหรียญ แลกกับหุ้นคนละ 2.5% อีก 1 คน ลงทุน 5 แสน ได้หุ้นไป 5%

“ไมเคิล” เอาเงินมาจ้างคนทำระบบและเริ่มขายแฟรนไชส์ต้นปีที่ผ่านมา ได้ 232 ไลเซนส์ จะทยอยเปิดร้านให้ได้ 10 แห่งในสิ้นปี และอีก 220 ร้านใน 5 ปี ค่าแฟรนไชส์ร้านละ 39,000 เหรียญ บวกส่วนแบ่งรายได้ปีละ 6%

ผลงานจากร้านต้นแบบที่ “แอลเอ” ก็พอพิสูจน์ถึงเทรนด์นี้ เพราะปีที่แล้ว ปีเดียว ร้านทำเล็บเล็ก ๆ แห่งนี้ทำเงินได้ถึง 350,000 เหรียญ ไมเคิลคาดว่า สาขาใหม่ ๆ ที่อัพเกรดให้มีบริการทำผมด้วย น่าจะทำเงินได้ถึง 6-9 แสนเหรียญต่อปีสบาย ๆ

ถ้าทำได้ในอีก 5 ปี Hammer & Nails จะมีเงินสะพัดถึงปีละ 140 ล้านเหรียญ (200 สาขา เฉลี่ยรายได้สาขาละ 7 แสน) และเมื่อหักส่วนแบ่ง 6% “ไมเคิล” จะได้เงินเข้ากระเป๋าเหนาะ ๆ ปีละ 8 ล้านเหรียญ น่าจะเป็นการหักหน้า


บรรดานักลงทุนใน Shark Tank ได้ไม่น้อยเลยค่ะ