คอลัมน์ Pawoot.com
โดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- กองทุนประกันวินาศภัยถังแตก แจ้งชะลอจ่ายคืนหนี้ตั้งแต่ มี.ค.2567
- เรือชนสะพานถล่มในสหรัฐ กระทบเศรษฐกิจ การขนส่งสินค้าเป็นอัมพาต
กลาง ม.ค. ที่ผ่านมา ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะอนุกรรมาธิการการพาณิชย์ และมีคณะอนุกรรมาธิการย่อยที่คุยกันเรื่อง e-Commerce ของไทย
ผมได้เสนอแผนที่จะผลักดัน e-Commerce ประเทศไทยและผู้ประกอบการไทย รวมไปถึงการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการต่างประเทศด้วย โดยพยายามชี้ให้เห็นว่าอีคอมเมิร์ซกำลังจะมาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจริง ๆ ซึ่งก็เริ่มเห็นแล้ว เช่น การซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น อยากเจออะไรก็เปิดแอป Lazada หรือ Shopee
อย่างที่พูดมาตลอดว่า อีคอมเมิร์ซมาแล้วแต่ที่กังวลและย้ำเรื่อยมาคือ มีแต่ธุรกิจยักษ์ใหญ่จากต่างชาติ เมื่อมีโอกาสจึงคิดว่าทำไมไม่ทำนโยบายกระตุ้นให้ธุรกิจไทยเข้ามาในออนไลน์มากขึ้น ไม่ใช่ให้มีแต่ของต่างชาติ
ผมเองชอบนโยบาย “ชิม ช้อป ใช้” ที่เห็นได้ชัดเลยว่าบริษัทหรือร้านค้าขนาดกลางหรือแม้แต่ร้านโชห่วยเล็ก ๆ ตามต่างจังหวัดก็มีป้ายแปะว่า “รับชิม ช้อป ใช้” นั่นหมายถึงร้านนี้ได้เข้าสู่ออนไลน์ไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ธุรกิจไทยมีความพร้อมเข้าสู่ออนไลน์ หากเรามีกลยุทธ์ในการดึงเขาเข้ามาได้อย่างถูกวิธี ผมขอสรุปความคิดที่จะกระตุ้นประเทศด้วย e-Commerce จากการประชุม คือ
1.มีนโยบายที่ส่งเสริมผู้ประกอบการให้ข้ามาในช่องทางออนไลน์ เช่น กระตุ้นในเชิงภาษี เมื่อเข้ามาในออนไลน์แล้วภาษีนิติบุคคลจะลดลง หรือมีสิทธิประโยชน์หากเข้ามาในระบบจะส่งสินค้าในราคาพิเศษจากไปรษณีย์ไทยได้ ฯลฯ
2.มีการขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีระบบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการพาณิชย์อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมามีผู้มาขึ้นทะเบียนเพียง 54,000 กว่าคนเท่านั้น ทั้งที่คนค้าขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียในไทยน่าจะมีตัวเลขในหลักแสนหรือล้านคน
เหตุเพราะทุกคนกลัวการเสียภาษี ทุกคนกลัวว่าเมื่อให้ข้อมูลไปแล้ว กรมสรรพากรจะมาตรวจสอบได้ไม่ยาก แต่เหตุผลที่ทุกคนต่างกระโดดเข้าไปในโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” โดยที่ไม่กลัวสรรพากรก็เพราะว่าการเข้าร่วมโครงการนี้ร้านค้ามีโอกาสที่จะได้เงิน 1,000 บาทจากคนซื้อ นั่นคือเขาได้ประโยชน์จากการเข้าไปในระบบ ดังนั้น รัฐควรมีนโยบายลักษณะนี้เช่นกัน
ผมมีความคิดว่า หากเรามีเฟสต่อไปของ “ชิม ช้อป ใช้” มีการให้เงินเข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม แต่ให้ซื้อสินค้าได้ทางออนไลน์เท่านั้น และต้องเป็นร้านค้าของผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น
3.ระบบร้านค้าต้องเชื่อมต่อและใช้ระบบ e-Tax invoice ซึ่งทาง ETDA ได้มีมาตรฐานออกมาแล้ว ธุรกิจสามารถส่งข้อมูลเข้าสู่กรมสรรพากรได้เลยทันที ลดต้นทุนไปได้มาก
4.มีมาร์เก็ตเพลซกลางของประเทศ ที่บริหารโดยเอกชน และมีคนเก่งหลาย ๆ คนมาร่วมมือกันทำตรงนี้ อาจไม่ใช่ไปแข่งกับมาร์เก็ตเพลซยักษ์ใหญ่ แต่ไปทำงานร่วมกัน หากรัฐต้องการโปรโมตอะไรก็ควรจะใช้ที่นี่
5.มีเงินพิเศษเหมือนอย่างโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” เมื่อทุกอย่างเข้าระบบหมด และยังมีเงินให้มาซื้อด้วยเหมือนลาซาด้าหรือช้อปปี้แจกเหรียญในวอลเล็ต แต่อยู่ในรูปแบบเหมือนกับ “ชิม ช้อป ใช้” เงินก็จะวนกลับเข้ามา และลดภาษีได้หมดทุกอย่างตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็คือ
1.ธุรกิจของไทยที่เข้าสู่การออนไลน์มากขึ้น รายได้เข้าประเทศมากขึ้น
2.ผู้ค้าจะเก่งขึ้น เพราะการเข้าสู่ออนไลน์ต้องมีการเรียนรู้
3.ธุรกิจจะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น ต้องมีการใช้ e-Tax invoice ซึ่งตอนนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบการทำบัญชีออนไลน์ได้แล้ว
4.มีตลาดกลางของประเทศไทยจริง ๆ เสียที โดยมีภาครัฐและเอกชนเข้ามาช่วยกันทำ
5.มีเม็ดเงินเข้ามาในอุตสาหกรรมออนไลน์ของคนไทยอย่างจริงจัง
6.คนไทยจะตื่นตัวมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
ทั้งหมดที่เล่ามาผมได้พยายามผลักดันทุกช่องทาง ตอนนี้ภาครัฐเองก็เปิดรับแนวความคิดในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย และ e-Commerce ไทยมากครับ ต่อไปกำลังจะทำเป็นแผนส่งต่อเพื่อเสนอในการนำไปผลักดันระดับประเทศ
ไม่ต้องเป็น ส.ส.หรือนักการเมือง เราก็ทำงานให้ประเทศได้ถ้าเรามีความตั้งใจที่จะทำ และต้องสร้างโอกาสนั้นขึ้นมาให้ได้ด้วย