LEO-Private 5G พุ่ง โควิดฉุดเป้า “สมาร์ทโฟน-ชิป AI”

ณ ห้วงเวลานี้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้าน ล่าสุดทางสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ได้เผยแพร่การคาดการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ 5 เทคโนโลยีสื่อและโทรคมนาคมที่สำคัญในปีนี้ ที่ “Deloitte” ได้มีการทบทวนใหม่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 หลังจากเมื่อปลายปีที่แล้ว Deloitte ได้เคยออกรายงาน TMT Predictions 2020 : Technology, Media & Telecommunications Predictions มาก่อนแล้ว

“Duncan Stewart” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเทคโนโลยีสื่อและโทรคมนาคม Deloitte ระบุว่า Deloitte ไม่เคยมีการแก้ไขการคาดการณ์ทางเทคโนโลยีสื่อและโทรคมนาคมมาก่อนนี่เป็นครั้งแรก

“การระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการล็อกดาวน์ work learn from home ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการหดตัวทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ในหัวข้อทั้งหมดเมื่อปลายปี 2562”

สำหรับการเปลี่ยนแปลงคาดการณ์ที่สำคัญในด้านโทรคมนาคมมีดังนี้

1) การลดลงของยอดขายสมาร์ทโฟน

การคาดการณ์ดั้งเดิมของ Deloitte ประเมินว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนในปี 2563 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 484 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.8% จากปี 2562 แต่หลังจากยอดขายที่หดตัวในไตรมาส 1 และคาดว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงในไตรมาส 2 แล้ว จะส่งผลให้ยอดขายทั่วโลกทั้งปีนี้ลดลง 10%

ขณะที่ผลประโยชน์ต่อเนื่องที่จะเกิดจากสมาร์ทโฟน ได้แก่ รายได้จากสิ่งที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฟน เช่น แอปโฆษณา และอุปกรณ์เสริม คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว 393 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมคาดว่าจะมีมูลค่า 459 พันล้านเหรียญสหรัฐ

“ในระยะยาวและหลังการระบาดผ่านพ้น เราคาดหวังว่าตลาดสำหรับสมาร์ทโฟนและสิ่งต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฟนจะกลับไปสู่การเติบโต”

2) Edge AI Chips เกิดช้าลง

ไม่ใช่สมาร์ทโฟนทุกคนที่มีชิปเซตปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ NPUs (neural processing unit : หน่วยประมวลผลแบบเส้นประสาท) แม้ว่าเดิม Deloitte จะคาดการณ์ว่าโทรศัพท์ 1 ใน 3 นั้นจะมี NPUs ในปีนี้คิดเป็นประมาณ 500 ล้านชิปจากโปรเซสเซอร์ AI ทั้งหมด 750 ล้านชิปเซต

แต่ล่าสุดได้ปรับประมาณการลงเหลือเพียง 650 ล้านชิปเชตเท่านั้น แต่นั่นจะยังคงเป็นจำนวน 2 เท่าเมื่อเทียบกับที่ขายในปี 2560

“การมีหรือไม่มีชิป AI นั้นมีนัยสำคัญต่อการส่งข้อมูลเช่นเดียวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย”

โดยในระยะยาวคาดการณ์ว่าในปี 2567 ชิปเซต AI จะมียอดขายสูงถึง 1.6 พันล้านชิป และมีขนาดเล็ก รวมถึงราคาถูกกว่า NPUs ที่กำลังทำตลาดในปัจจุบัน ทั้งจะไม่จำกัดอยู่แค่ในโทรศัพท์ แต่จะอยู่ในเซ็นเซอร์นับล้านล้านล้านชิ้นของ in-ternet of things และโซลูชั่นสมาร์ทซิตี้บ้านอัจฉริยะ

3) Private 5G จะมาเร็วขึ้น

เมื่อปลายปีที่แล้ว Deloitte คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีบริษัทกว่า 100 แห่งทั่วโลกจะเริ่มทดสอบการใช้งานเครือข่าย private 5G ซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวมกันเพียงไม่กี่ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ โดย private 5G น่าจะเป็นตัวเลือกที่ธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิต ศูนย์โลจิสติกส์ และท่าเรือ

แต่หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องปรับคาดการณ์ว่าจะมีบริษัททั่วโลกเกือบ 1,000 แห่ง ทดลองทดสอบ private 5G โดยอิงจากการทดลองใช้โซลูชั่น private 5G จำนวนมากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทั้งยังได้เห็นในวงการแพทย์และโลจิสติกส์การกระจายสินค้าซึ่งอาจมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นตัวเร่ง

ขณะที่การเปิดให้บริการโครงข่าย 5G สำหรับการใช้งานในรูปแบบสาธารณะนั้น โควิด-19 ทำให้บางประเทศเปิดได้เร็วขึ้น แต่ก็ทำให้บางประเทศเปิดได้ช้าลง

4) Low Earth Orbit : LEO เพิ่มสูงขึ้น

ดาวเทียมวงโคจรต่ำ low earth orbit (LEO) ที่เดิมเคยคาดการณ์ว่าจะมีมากกว่า 700 ดวงในสิ้นปีนี้ ณ เวลานี้ประเมินว่าจะมี “มากกว่า 1,000 ดวง”

แม้ว่า OneWeb ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าของโครงการสร้างดาวเทียม LEO จะล้มละลาย แต่จะยังมีดาวเทียม LEO ยิงดาวเทียม 68 ดวงสู่วงโคจรในไตรมาส 1 และยังมีโครงการของ Starlink ที่ในเดือน เม.ย.ได้ยิงดาวเทียมสู่วงโคจร 300 ดวง ทั้งยังคาดว่าจะเพิ่มอีก 60 ดวงต่อเดือน และคาดว่าจะให้บริการบางส่วนในปลายปีนี้

“เป็นเรื่องยากที่จะทราบว่าโควิด-19 มีผลโดยตรงต่อการปรับใช้ LEO อย่างรวดเร็วอย่างไร แต่ผู้คนหลายร้อยล้านคนต้องทำงานและเรียนรู้จากที่บ้าน ในขณะที่รัฐบาลพยายามเติมช่องว่างของบรอดแบนด์ในชนบท และผู้ให้บริการมองหา back-haul เพิ่มเติมสำหรับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้คนอยู่บ้าน มีการใช้งานสตรีมมิ่งมากขึ้น”

5) CDN เติบโตเร็วยิ่งขึ้น

content delivery Networks (CDN) วิดีโอสตรีมมิ่งทั้งหมดผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมทั่วโลก ที่เดิมคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 25% ไปอยู่ที่ราว 14 พันล้านเหรียญสหรัฐ

แต่จากสถานการณ์ขณะนี้ ประเมินว่าน่าจะเติบโตถึง 30-40% หรือมีมูลค่าสูงถึง 15.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ