กระทบหนัก-ได้ประโยชน์ มองธุรกิจกับ “COVID-19”

Photo by Mladen ANTONOV / AFP
คอลัมน์ Pawoot.com
โดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ

 

ผมได้เห็นข้อมูลน่าสนใจของ TDRI ที่แบ่งกลุ่มธุรกิจในไทยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการล็อกดาวน์ ซึ่ง negative impact หรือกลุ่มที่โดนจัดหนักจัดเต็มแบ่งย่อยเป็นระดับ high, moderate และ low

กลุ่มย่อยแรกที่โดนหนักหนาสาหัสมาก คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงแรม ที่มีคนงานในระบบกว่า 1 ล้านคน รองลงมา เป็นกลุ่มธุรกิจสายการบิน สปาเพื่อสุขภาพ ร้านตัดผม ผับและบาร์ ยานยนต์และอะไหล่ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มนี้มีคนงานอยู่ในระบบราว 1 แสนถึง 1 ล้านคน

และธุรกิจที่กระทบหนักที่มีพนักงานอยู่ในระบบน้อยกว่าแสนคน คือ สถานบันเทิงและบริการ สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน booking agency บริษัททัวร์ ทั้งที่มีหน้าร้านค้า และทัวร์ออนไลน์ จากที่เคยมีรายได้เป็นพันล้าน ตอนนี้ก็ลดคนหรือเลย์ออฟออกไปเลย

กลุ่มต่อมายังอยู่ใน negative impact แต่อยู่ตรงกลาง (moderate) ซึ่งเริ่มคลี่คลาย คือ shopping malls ร้านค้าที่มีคนในระบบกว่า 1 ล้านคน กับกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจก่อสร้าง มีคนอยู่ในระบบราว 1 แสนถึง 1 ล้านคน และกลุ่มขนส่งสาธารณะ กลุ่มปั๊มน้ำมัน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีคนงานอยู่ในระบบน้อยกว่า 1 แสนคน

ส่วนกลุ่มที่กระทบแต่จัดว่าน้อย ได้แก่ กลุ่มพวกอิเล็กทรอนิกส์ ขายไฟฟ้า ขายก๊าซ บริการเฮลท์แคร์ การศึกษา professional services ต่าง ๆ

ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์เต็ม ๆ หรือพวก positive impact จากการล็อกดาวน์ คือ พวก e-Commerce อย่างที่ผมบอกมาตลอด เช่น ธุรกิจอาหาร online market place ธุรกิจบริการขนส่งและแพ็กเกจจิ้ง และ e-Services เช่น การเรียนออนไลน์ที่โตอย่างมาก ธุรกิจธนาคาร -ประกัน ดูหนังออนไลน์ digital services โทรศัพท์มือถือ เทเลคอม medical supplies เช่น หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ วิตามิน

ในต่างประเทศมีข่าวคราวของกลุ่มธุรกิจทั้งหลาย มีรายได้เป็นศูนย์ มีการลดจำนวนคนงานลงมาก และธุรกิจกลุ่มที่พูดไปข้างต้นต่างพยายามหาทางออกหรือดิ้นกันสุดตัวเหมือนกัน

ประเทศไทยเราได้เข้าสู่ช่วงผ่อนคลายแล้วตั้งแต่ 17 พ.ค. และรัฐได้เตรียมแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” มีคิวอาร์โค้ดไว้ให้คนสแกน และให้บรรดาเจ้าของธุรกิจต้องไปลงทะเบียนในแพลตฟอร์มนี้เพื่อให้ได้คิวอาร์โค้ดเพื่อให้คนที่เข้ามาในร้านได้สแกนคิวอาร์โค้ดนี้ก่อนเข้า

โดยในการลงทะเบียนเจ้าของธุรกิจจะแจ้งว่า ที่ร้านมีกี่โต๊ะ รับคนได้เท่าใด ฯลฯ เมื่อลูกค้าสแกนคิวอาร์โค้ดเข้าไปใช้บริการระบบก็จะนับจำนวนให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อมีคนออกก็ต้องสแกนคิวอาร์โค้ดออกระบบก็จะนับจำนวนรวมให้โดยอัตโนมัติเช่นกัน ฉะนั้น ทำให้เราทราบว่าในเวลานั้นมีคนอยู่ในร้านนั้นจริง ๆ เท่าใด

วิกฤตครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่าต่อไปนี้ธุรกิจต้องเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำงาน ผมว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คนทำธุรกิจอาจต้องเริ่มดูแล้วว่าจะปรับตัวเองอย่างไรบ้าง อยากให้ลองกลับไปมองดูว่าธุรกิจของคุณได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ ?

ผมว่าถึงเวลาที่คุณต้องลงมือทำและปรับตัวเองแล้วครับ