ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ใช่แค่เรื่องของออนไลน์

ข้อมูลส่วนบุคคล
คอลัมน์ Pawoot.com
โดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ

ในเรื่องของกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ที่หลายคนอาจกังวลกันที่มีการเลื่อนออกไปนั้น ในมุมของผมมี 2 หมวก หนึ่งในฐานะของเจ้าของกิจการ การเลื่อนกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ครั้งนี้ก็โล่งอก เพราะแม้จะมีการเตรียมตัวอยู่แล้ว แต่อาจมีบางอย่างที่อาจไม่พร้อมบ้าง การเลื่อนทำให้บรรดาเจ้าของกิจการ หรือแม้แต่ภาครัฐต่าง ๆ เองผ่อนคลายไปได้ในระดับหนึ่ง

หากเปิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ผมมองว่าทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งน่าจะลำบาก เพราะอาจยังไม่ได้มีการปรับตัว หรือมีความพร้อมมากเท่าใดนัก ฉะนั้น ในภาคธุรกิจการเลื่อนออกไป ทำให้หายใจหายคอได้ดีมากขึ้น

แต่อีกหมวกในแง่ของการเป็นประชาชนคงไม่ค่อยดี เพราะนั่นหมายถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เราให้ไป ควรมีการจัดเก็บอย่างรัดกุมมากขึ้น หรือต้องเอาจริงเอาจังกันได้แล้ว

ในฐานะประชาชนก็อาจไม่ค่อยสบายใจเท่าใด บางคนมองเหมาแต่ว่าธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้นสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้แบบสบาย ๆ

โดยที่ลูกค้าไม่สามารถรู้เลยว่า ถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง จริง ๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทที่ทำด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

ธุรกิจที่น่าจะโดนหนักกว่าจริง ๆ คือ พวกที่ทำเกี่ยวกับเรื่องคอลเซ็นเตอร์ เพราะการได้เบอร์ของลูกค้ามา หรือลูกค้ามาสมัครแล้วให้เอง มีการนำเอาสำเนาบัตรประชาชนของลูกค้ามา ฯลฯ พวกนี้โดนหมด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับด้านดิจิทัล หรือไม่เป็นดิจิทัล เมื่อใดที่มีการเก็บข้อมูลของลูกค้าที่เป็นข้อมูลส่วนตัวก็จัดอยู่ในข่ายที่ต้องโดนเช่นกัน

ไม่ใช่แค่ธุรกิจที่เป็นออนไลน์เท่านั้น ธุรกิจที่เป็นแบบออฟไลน์ก็โดนได้ด้วย ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ ร้านถ่ายเอกสาร มีคนมาถ่ายบัตรประชาชน แค่นี้มีความเสี่ยงแล้ว เพราะมีข้อมูลของลูกค้าอยู่ในมือ หากไม่มีมาตรการหรือวิธีการจัดการบริหารข้อมูลลูกค้าที่ดีพอก็อาจได้รับผลกระทบจากกฎหมายตัวนี้ได้ไม่ยาก

คนที่ต้องกลัวมากที่สุด คือ ธุรกิจที่ต้องบริหารข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก เช่น มีชื่อ เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ เลขที่บัตรประชาชน ฯลฯ มองกันดี ๆ ธุรกิจคอลเซ็นเตอร์เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงมาก เมื่อใดที่กฎหมายตัวนี้ประกาศออกใช้ การที่จะโทร.ไปหาลูกค้าสักคนหนึ่ง หากไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อนอาจโดนฟ้องร้องได้เลยทีเดียว

การเลื่อนกฎหมายนี้ออกไป ทำให้ผู้ประกอบการที่ไม่รู้เรื่องนี้เลย หรือกำลังพยายามปรับตัวเองอยู่ มีโอกาสในการเตรียมตัวได้มากขึ้น อย่าไปมองว่าจะเป็นเรื่องของออนไลน์แต่เพียงอย่างเดียว จึงต้องกลับมาพิจารณาว่า ธุรกิจของคุณขอข้อมูลของลูกค้าหรือไม่ แค่เพียงแต่มีสำเนาบัตรประชาชน มีชื่อ มีเลขที่ แค่นี้ถือว่าเข้าข่ายว่า คุณมีข้อมูลของลูกค้าอยู่ในมือ คุณกำลังบริหารข้อมูลของลูกค้าอยู่ด้วยเหมือนกัน

การเลื่อนออกไปครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสให้บรรดาเจ้าของกิจการทั้งที่เป็นออนไลน์แล้ว หรือออฟไลน์ มีเวลาปรับตัวและมีความพร้อมมากขึ้น

ผมอยากให้ทุกท่านได้รีบศึกษาและจัดการเตรียมความพร้อมของตนเองให้เรียบร้อยเสร็จสิ้น เพราะเวลาอีก 1 ปีไม่นานเลยจริง ๆ