“สิริ เวนเจอร์ส” ไม่หยุดลงทุน ปั้นพนักงาน-เฟ้นสตาร์ตอัพ Proptech

“สิริ เวนเจอร์ส” ไม่หยุดลงทุนสตาร์ตอัพทั่วโลก ปิดดีลสตาร์ตอัพสัญชาติไทย “SHARGE” ต่อยอดSansiri Home ลุยสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 25 โครงการ ในปี”64 พร้อมเปิดตัว 3 proptech ใน THE FOUNDER

นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี สิริ เวนเจอร์ส บริษัทในเครือแสนสิริ กล่าวว่า ปัจจุบันสตาร์ตอัพไทยในกลุ่ม proptech เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ในส่วนของการก่อสร้างมีไม่มาก โดยบริษัทยังเดินหน้าลงทุนในกลุ่มสตาร์ตอัพและบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และสอดรับกับแนวทางหลักของธุรกิจของแสนสิริ เพื่อยกระดับนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยโฟกัสใน 4 กลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง (constech) เน้นเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง 2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (sustainability) 3.เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (proptech) เน้นรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่ และ 4.เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและสุขภาพ (livingtech & healthtech)

เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา “สิริ เวนเจอร์ส”ได้เข้าไปลงทุนในกลุ่มสตาร์ตอัพสัญชาติไทย “ชาร์จ (SHARGE)”ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อต่อยอดบริการและอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านแสนสิริ โดยจะขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพฯ รองรับกรีนไลฟ์สไตล์ พร้อมกับเปิดตัวบริการจอง-จ่าย EV chargerในโครงการที่พักอาศัย และแหล่งไลฟ์สไตล์กว่า 200 แห่ง ในเครือข่ายของ “ชาร์จ” ผ่านแอปพลิเคชั่นSansiri Home Service และ “ชาร์จ” ยังมีแผนขยายจุดให้บริการรวม 81หัวชาร์จ ใน 25 โครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ภายในปี 2564

“ที่ผ่านมาเราใช้เงินลงทุนไปแล้ว 750 ล้านบาท ใน 10 บริษัท แบ่งเป็นสตาร์ตอัพ 8 แห่ง และกองทุนรวมหน่วยลงทุน หรือ fund of funds 2 แห่งคือ “China Renaissance” CVC ในจีนและกองทุนในอเมริกา Fifth Wall ที่ลงทุนในเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้เราค้นหาสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยได้รวดเร็วขึ้น”

ทั้งยังคาดการณ์ด้วยว่าแผนการเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัพในอนาคตของบริษัทยังอยู่ในกรอบลงทุนเดิม คือ 1,500 ล้านบาท และปัจจุบันเริ่มมีเงินหมุนเวียนจากการเข้าไปลงทุนเข้ามาบ้างแล้ว นอกจากนี้ บริษัทยังได้ผู้เข้ารอบในโปรเจ็กต์ “THE FOUNDER” รุ่นที่ 1 ซึ่งเป็นโครงการเฟ้นหาพนักงานแสนสิริมาปั้นเป็นสตาร์ตอัพ จำนวน 3 ทีม จาก 30 ทีม

โดยผู้เข้ารอบจะได้รับเงินทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ (seed funding) ไม่เกิน 3 ล้านบาท ได้แก่ Juzmatch แพลตฟอร์มการซื้อขายในรูปแบบเช่าซื้อที่จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจาะกลุ่มคนเริ่มทำงาน ผู้ที่ติดเครดิตบูโร กลุ่มฟรีแลนซ์ ซึ่งจะเข้ามาให้คำปรึกษาผู้ซื้อในการวางแผน เพื่อเปลี่ยนจากการเช่าซื้อเป็นกู้ธนาคารในอนาคต รวมถึงช่วยกลุ่มนักลงทุนอสังหาฯ ลดความเสี่ยงและความยุ่งยากในการลงทุน โดยจัดหาผู้ซื้อหรือผู้เช่าระยะยาว ปัจจุบันมีโครงการอสังหาฯของแสนสิริและโครงการอื่น ๆ เข้าร่วมแล้วกว่า 95 โครงการปิดการขายไปแล้ว 4 ยูนิต รวม17 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2565 เพิ่มเป็น 250 ยูนิต หรือมูลค่ารวม 750 ล้านบาท

ถัดมาเป็น Zthegarden แพลตฟอร์มบริการจัดและดูแลสวนครบวงจร ซึ่งจะพัฒนาสู่มาร์เก็ตเพลซด้านบริการ ซื้อ ขาย อุปกรณ์ตกแต่งสวนจากผู้ขายทั่วประเทศ ตั้งเป้าภายในปี 2564 มีรายได้รวม 30 ล้านบาท จากที่คาดว่าจะมีรายได้รวมในปีนี้ 12 ล้านบาท และสุดท้าย Home Station39โซลูชั่นการต่อเติมที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ช่วยแก้ปัญหาด้านการต่อเติมบ้าน ทั้งการหาผู้รับเหมายาก โดนทิ้งงานหรือออกแบบไม่ตรงใจ โดย Home Station39 จะเข้ามาช่วยให้การต่อเติมบ้านได้มาตรฐานตามแบบ ปลอดภัย และลดระยะเวลาทำงานให้สั้นลง หรือเร็วที่สุดเสร็จใน 1 วัน

นายจิรพัฒน์กล่าวต่อว่า สตาร์ตอัพทั้ง 3 ทีมในโครงการ THE FOUNDERจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการมอบบริการเสริมให้ลูกค้าแสนสิริได้ โดยทั้ง3 ทีมที่ได้รับการคัดเลือกได้ผันตัวจากพนักงานแสนสิริสู่การเป็นสตาร์ตอัพเต็มตัว เริ่มประกอบธุรกิจจริง แก้จุดอ่อน และสร้างโอกาสให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว และสามารถสร้างรายได้รวมไปแล้วเกือบ 20 ล้านบาท

“เราเตรียมเปิดรับสมัครรุ่น 2 เร็ว ๆ นี้เพื่อสานต่อความตั้งใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยในทุกมิติ”