“เอไอเอส” กำไรสุทธิ 6.7 พันล้าน Q3 ล็อคเป้าลงทุน 5G

รายงานข่าวจากบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (5พ.ย.2563) เอไอเอส รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 3/2563 โดยระบุว่ามีรายได้รวม 41,715 ล้านบาท ลดลง 1.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 6,764 ล้านบาท ลดลง 6.5 % เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ผลกำไรสุทธิทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

อย่างไรก็ตาม เอไอเอสยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีการกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพียงพอต่อการลงทุนขยายโครงข่าย ทั้งบริการ 5G และ 4G รวมทั้งค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ ซึ่งบริษัทจะยังลงทุนต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานใน 9 เดือนแรก รวม 65,000 ล้านบาท และคงงบลงทุนทั้งปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 35,000 ล้านบาท

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) กล่าวว่า การปรับตัวสู้กับภาวะวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้าในหลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในทุกระดับ คือการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในแง่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ

สำหรับเอไอเอส มองว่า เทคโนโลยี 5G เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่สำคัญต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและเป็นฟันเฟืองที่จำเป็นต่อการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน”

โดยในเดือนต.ค. ที่ผ่านมา เปิดตัวบริการ 5G เต็มรูปแบบ ประกอบด้วย แพ็กเกจ AIS 5G Max Speed แพ็กเกจ 5G แรกของไทย ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตถึง 1 Gbps เมื่อใช้งานผ่านเครือข่าย AIS 5G รวมถึง AIS 5G Application อย่าง AIS 5G PLAY AR, AIS 5G PLAY VR และ AIS 5G Cloud Game ให้ลูกค้าเอไอเอสได้สัมผัสประสบการณ์ 5G ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เอไอเอส ยังคงมีจำนวนลูกค้าสูงที่สุดในตลาดที่ 40.9 ล้านเลขหมาย เป็นลูกค้าระบบรายเดือน 9.7 ล้านราย เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ 235,000 ราย และมีลูกค้าระบบเติมเงิน 31.2 ล้านราย ลดลง 313,000 ราย สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี และส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจต่อเนื่องมายังไตรมาส 3

ส่วนการใช้งานดาต้าเฉลี่ยอยู่ที่ 17.2 กิกะไบต์ต่อเดือน เพิ่มจากไตรมาสก่อน 1.3% และสัดส่วนลูกค้าที่ใช้ 4G ยังเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็น 76% ของฐานลูกค้าทั้งหมด

ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ เติบโตต่อเนื่อง ด้วยจำนวนลูกค้าใหม่ 53,000 ราย ส่งผลให้มีลูกค้ารวม 1.26 ล้านราย และมีรายได้จากธุรกิจเน็ตบ้าน 1,785 ล้านบาท โตขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดว่าจะมีลูกค้ารวมไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านรายในสิ้นปีนี้

ด้านธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรเติบโตสูงต่อเนื่องจากความต้องการใช้บริการ Cloud, Data Center และ IT Solution ที่เพิ่มขึ้นด้วยความต้องการปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และเดินหน้าสร้างโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร

ด้วยปัจจัยลบทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังภาคธุรกิจไทยในภาพรวม ทั้งกำลังซื้อที่อ่อนตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรสำหรับการเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้ เอไอเอส มีกำไรสุทธิ 6,764 ล้านบาท*


“การลงทุนเครือข่าย โดยเฉพาะ 5G ในปีนี้ ไม่ได้มองเห็นแค่ผลประโยชน์ในระยะสั้น แต่ คือการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้ประเทศไทย ที่จะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ ในระดับ Mass Scale ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะเห็นประโยชน์ที่ชัดเจนขึ้น”นายสมชัย กล่าวสรุป