กระทรวงดิจิทัลฯ เตือนสื่อสังคมออนไลน์ เร่งปรับหลักเกณฑ์คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้พร้อมรองรับ กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ วันที่ 1 มิ.ย.นี้ พร้อมเร่งให้หน่วยงานรัฐ ใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวระหว่างร่วมเวทีเสวนาอัพเดตสถานการณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในหัวข้อ “ARE THERE REALLY PERSONAL PRIVACY IN CYBER WORLD” ซึ่งจัดโดยสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (TISA) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายลำดับรอง ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) คาดว่ากฎหมายลำดับรองในกลุ่มที่ 1 ซึ่งอยู่ในกลุ่มสำคัญ จำเป็น เร่งด่วน จะเห็นร่างได้ก่อนวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ
โดยสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะสรุปผลที่ได้จากการรวบรวมระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในกิจการ 7 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจการเงิน ตลาดทุน ประกันภัย, กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม, กลุ่มธุรกิจการผลิตและการค้า, กลุ่มธุรกิจสาธารณสุข, หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ, กลุ่มธุรกิจดิจิทัลและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ประกอบการต่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจการศึกษาและภาคประชาชน เพื่อนำมาประกอบการจัดทำกฎหมายลำดับรอง ที่สอดคล้องกับลักษณะกิจการแต่ละกลุ่ม
สำหรับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จะมีผลครอบคลุมทุกกิจกรรมที่มีการดำเนินการในประเทศไทย และตลอดจนการโอนข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้จากการดำเนินธุรกิจในไทย เพื่อส่งผ่านไปทำการประมวลผลที่ต่างประเทศ และส่งกลับเข้ามาทำธุรกิจในไทย ซึ่งต้องเข้ามาอยู่ภายใต้กฎหมาย ฉบับนี้ของไทยทันที
นายภุชพงค์ กล่าวว่า ภายใต้กฎหมายลำดับรอง กลุ่มที่ 1 ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ทุกเครือข่าย ต้องปฏิบัติตาม (comply) กับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ทั้งฉบับ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2564 เนื่องจากจะเข้าไปอยู่ในข้อหลักเกณฑ์และนโยบายการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศ ต้องมีหลักเกณฑ์และมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลอย่างเพียงพอ หรือได้รับการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงาน เพราะมีการนำเอาข้อมูลไปประมวลผล และนำมาใช้ดำเนินกิจกรรมในประเทศไทย
ทั้งนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย จะมีความรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง แล้วแต่กรณี ดังนั้น ขอแนะนำให้สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ให้บริการอยู่ในประเทศไทย หรือต่างประเทศ แต่มีการประกอบกิจการหรือธุรกิจร่วมในประเทศไทย ต้องปรับหลักเกณฑ์เงื่อนไขการคุ้มครองข้อมูลลูกค้าเพื่อปฏิบัติตาม (comply) พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ
เช่น ต้องระบุหลักเกณฑ์และวิธีการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ไว้ในสัญญาใช้บริการอย่างชัดเจน จุดประสงค์ในการขอข้อมูล และจะนำข้อมูลไปใช้ด้านใดบ้าง ไม่สามารถเอาไปใช้เกินจากที่ระบุไว้ในคำขอความยินยอม เป็นต้น
“การละเมิดข้อมูลบนโลกดิจิทัลทำได้ง่าย ผู้ใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มต้องพึงระวัง ในการอ่านข้อความขอความยินยอม เจตนารมณ์ของกฎหมาย จะต้องแจ้งวัตถุประสงค์ให้ชัดแจ้งในกิจกรรมนั้น ๆ เช่น มี 3 ข้อ ถ้านำไปใช้เพิ่มจากนั้น ผู้ใช้สามารถถอนความยินยอมได้ และอยากแนะนำผู้ใช้งาน ถ้าสมัครใช้แอปพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์ใด ๆ ต้องระวังถึงจุดนี้ด้วย โดยเฉพาะแอปสนทนาออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมล่าสุด เพราะแอปนี้ เรียกเอาเบอร์โทรไปจัดเก็บโดยอัตโนมัติ ไม่มีการขอความยินยอมก่อน”
ด้านความพร้อมของภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศไทยต่อการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ นั้น ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจการเงิน ตลาดทุน ประกันภัย เป็นกลุ่มที่ตื่นตัวและเตรียมพร้อมมากสุด มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่น่าเป็นห่วง ส่วนภาคธุรกิจอื่น ๆ ต้องรีบศึกษารายละเอียดข้อปฏิบัติตามกฎหมายนี้ และรีบดำเนินการ
“ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ ไม่อยากให้มองว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ เป็นอุปสรรคในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการทำ Big Data จริง ๆ ต้องรีบกล้าให้ เพราะผู้ควบคุมข้อมูล (หรือหน่วยงาน) A ไปถึง B ทุกหน่วยมีความรับผิดชอบในข้อมูลที่ครอบครองหรือได้รับส่งมอบมาต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดและมีความรับผิดเท่ากันหมด”
หากมีการละเมิดข้อมูลเกิดขึ้น เพราะทุกคนมีส่วนในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล ต้องมองมุมบวก ว่ามีกฎหมายฉบับนี้ ต้องรีบแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ การใช้ Big Data เพื่อให้เกิดนวัตกรรม สิ่งใหม่ในการพัฒนาประเทศ