เอปสันพลิกเกมใหม่เจาะตลาดบีทูบี ตั้งทีมเฉพาะแยกดูแลลูกค้าญี่ปุ่น พร้อมขนสินค้าใหม่ลงตลาด 20 รายการ คาดสิ้นปีกลับมาโต 10%
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ล่าสุดหลายสถาบันการเงินมีการปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ปี 2564 ใหม่ อยู่ที่ 2-2.2% จากเดิมคาดว่าจะโต 3.5-3.8% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวและการส่งออกดังนั้น คาดว่าช่วงครึ่งปีแรกนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่น่าจะฟื้นกลับมาเป็นปกติได้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ทำให้ทิศทางธุรกิจในปีนี้ (เมษายน 2564-มีนาคม 2565) เอปสันได้ปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจและสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจบีทูบี (B2B) ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก 1.ปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งทำต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาปรับระบบการบริหารจัดการภายในให้สอดรับกับการขยายธุรกิจบีทูบี ล่าสุดแยกทีมดูแลลูกค้าญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
2.การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคู่ค้ามากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าการมีคู่ค้าที่ดีช่วยให้เอปสันขยายตลาดได้เร็วขึ้น เช่นพัฒนาตัวแทนจำหน่าย และเพิ่มตัวแทนที่มีความเชี่ยวชาญตลาดบีทูบี 3.การขยายช่องทางการขายผ่านออนไลน์มากขึ้นเพิ่มการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่และตลาดใหม่ ๆ 4.การนำเสนอคุณค่าให้ลูกค้าองค์กรแก้จุดอ่อนและตอบโจทย์ลูกค้า โดยจะเปิดตัวสินค้ากลุ่มบีทูบีไม่ต่ำกว่า 20 รายการ ทั้งได้ปรับรูปแบบการให้บริการเช่าเครื่องพรินเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร “Epson EasyCare 360 เหมา เหมา” ค่าบริการ 790-2,490 บาทต่อเดือน
“ด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้จะผลักดันให้ภาพรวมปีนี้กลับมาโต 10% จากปี 2563 (เม.ย.2563-มี.ค. 2564) ซึ่งคาดว่าจะติดลบ 15% เพราะลูกค้าได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงตามไปด้วย ทั้งกลุ่มอิงก์เจ็ตและโปรเจ็กเตอร์ที่เป็นรายได้หลักก็หายไปจากมาตรการล็อกดาวน์”
และปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้กลุ่มบีทูบีอยู่ที่ 35% บีทูซี 65% และภายในปี 2567 จะมีสัดส่วน 50% เท่ากัน
นายยรรยงกล่าวว่า ปี 2563 เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด ข้อมูลจากจีเอฟเคระบุว่า ภาพรวมตลาดสินค้าเชิงเทคโนโลยี (technical consumer goods) ผ่านหน้าร้าน มีมูลค่า 209,815 ล้านบาท ติดลบ 14% โดยกลุ่มกล้องติดลบสูงสุด 46% สินค้าไอทีติดลบน้อยสุด 5% พรินเตอร์อิงก์เจ็ตผ่านช่องทางหน้าร้านโตลดลงแต่โตได้ดีในออนไลน์ทำให้ยังรักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งตลาดพรินเตอร์อิงก์เจ็ต 43% และโปรเจ็กเตอร์ 33%