Tech Times มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ
ในที่สุด Apple ก็ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า App Tracking Transparency ออกมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุด iOS 14.5 ที่จะทำให้ผู้ใช้งาน iPhone และ iPad เลือกได้ว่าจะยอมให้แอปต่าง ๆ นำข้อมูลของตนไปใช้หรือไม่
ฟีเจอร์นี้ได้ทำให้มีเสียงชื่นชม และเสียงวิจารณ์จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
ฝ่ายชื่นชม ได้แก่ บรรดาตัวแทนกลุ่มผู้บริโภค เช่น Electronic Frontier Foundation ที่มองว่า Apple ตัดสินใจถูกแล้วที่ยืนอยู่เคียงข้างผู้บริโภคไม่ให้บรรดานักพัฒนาและนักโฆษณาทั้งหลายฉกฉวยใช้ผลประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวไปใช้ทำมาหากินง่าย ๆ
ฝ่ายวิจารณ์ก็หนีไม่พ้นผู้ที่เสียประโยชน์อย่าง Facebook ที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายโฆษณา โดย Facebook เปิดหน้าท้าชนกับ Apple มาตั้งแต่รู้ข่าวว่าจะมีการปล่อยฟีเจอร์นี้ออกมาเมื่อกลางปีก่อน
โดยอ้างว่าการกระทำของ Apple ครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเจ้าของกิจการรายย่อยที่พึ่งพาการโฆษณาแบบเจาะจงไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (target ads)
ที่ผ่านมาบรรดานักพัฒนาแอปรวมถึงบิ๊กเทค Facebook จะใช้ระบบ IDFA (identifier for advertisers) ที่ฝังอยู่ใน iPhone และ iPad เพื่อ track ข้อมูลของผู้ใช้งานเพื่อทำ target ads รวมทั้งวัดประสิทธิภาพของ ads นั้น ๆ
นอกจากนี้ เจ้าของแอปยังสามารถนำข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภค
ไปขายต่อให้บริษัทอื่นได้ด้วย โดยผู้ใช้อาจไม่รู้หรือไม่ยินดีด้วย แต่ฟีเจอร์ App Tracking Transparency
ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จะ “บังคับ” ให้นักพัฒนาต้องทำข้อความขึ้นหน้าจอเพื่อให้ลูกค้ามีสิทธิ “เลือก” ว่าจะ“ยินยอม” หรือ “ปฏิเสธ” ให้มีการนำข้อมูลของตนไปใช้
หากลูกค้ายินยอมทุกอย่างก็ดำเนินไปเช่นที่เคยเป็นมา แต่หากลูกค้า “ปฏิเสธ” แอปนั้นจะไม่สามารถนำข้อมูลของลูกค้าไปใช้ได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
ความจริงผู้ใช้ iPhone และ iPad สามารถตั้งค่าไม่ให้มีการนำข้อมูลของตัวไปใช้อยู่แล้ว แต่ส่วนมากก็ละเลยหรือไม่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ฟีเจอร์ใหม่นี้จึงเป็นทางลัดที่ทำให้ทุกอย่างง่ายและชัดเจนขึ้น ซึ่งจากผลสำรวจพบว่าหากมีตัวเลือกระหว่าง ยินยอม กับ ปฏิเสธ ลูกค้ากว่า 80% จะเลือกกด “ปฏิเสธ” ไม่ให้มีการนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้อย่างแน่นอน
ตัวเลขนี้ทำให้บิ๊กเทคอย่าง Facebook ที่มีรายได้หลักจากการขายโฆษณานั่งไม่ติด ต้องรีบออกมาวิจารณ์ Apple ว่า ทำอะไรไม่คิดถึงพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่ได้ target ads นี่แหละเป็นช่องทางทำมาหากิน
ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะไม่มีงบฯซื้อโฆษณาเป็นถุงเป็นถังเหมือนแบรนด์ดัง
แต่ก็มีหลายฝ่ายออกมาดักคอว่า ที่ Facebook ดูดิ้นรนขนาดนี้มาจากความกลัวว่ารายได้จะลดลงมากกว่า
ประเมินกันว่าฟีเจอร์ใหม่ของ Appleจะทำให้รายได้ของ Facebook หายไปประมาณ 5% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดกว่า 8.4 หมื่่นล้านเหรียญ
ตัวเลข 5% อาจดูไม่มาก แต่หากคำนวณจากฐานรายได้เฉียดแสนล้าน ก็ไม่ใช่จำนวนเงินที่นักธุรกิจคนไหนจะทำใจได้
แต่ความเดือดร้อนของ Facebook ย่อมไม่ใช่ปัญหาที่ Apple ต้องสนใจ อีกทั้งรายได้ส่วนใหญ่ของ Apple มาจากการขายอุปกรณ์ (device) และการซื้อขายในแอป (in-app purchases) มากกว่าการขายโฆษณา
การใช้ฟีเจอร์ App Tracking Transparency จึงไม่มีผลอะไรกับ Apple มากนัก แถมยังเป็นจังหวะได้ตอกย้ำจุดขายว่าเป็น privacy-first company ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ทำให้ได้ใจผู้บริโภคมากขึ้นไปอีก
แม้มีหลายบริษัทที่ใช้ข้อมูลผู้บริโภคเพื่อมอบประสบการณ์และข้อเสนอที่ดีกว่าจริง ๆ แต่ Apple ยืนยันหลักการที่ว่า “ความเป็นส่วนตัวคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”
โดยบอกด้วยว่ามีแอปหลายตัวที่เก็บข้อมูลลูกค้าเกิน “จำเป็น” เพื่อเอาไปขายต่อ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยลูกค้าไม่รู้เรื่องเลย ดังนั้น การให้ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าบิ๊กเทคอย่าง Facebook รวมทั้งโซเชียลมีเดียเจ้าดังรายอื่น ไม่ว่าจะเป็น Snap Twitter หรือ Google ที่ได้รับผลกระทบจะปรับตัวได้ในที่สุด
ที่สำคัญ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ผู้บริโภคจะมีสิทธิมีเสียงมากขึ้นในการจัดการข้อมูลของตัวเองในอนาคต