คอลัมน์ Tech Times มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ
ในที่สุด Amazon ก็กำเงิน 8.45 พันล้านเหรียญซื้อ MGM ค่ายสตูดิโอผลิตหนังระดับตำนานฮอลลีวูดแต่ทำไมข่าวการควบรวมนี้ไม่สร้างความหวือหวา
CNBC มองว่าเพราะ MGM แม้เคยเป็นตำนานผู้สร้างภาพยนตร์แต่หลังอุตสาหกรรมหนังโดน disrupt ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ก็กลายเป็นบริษัทที่รั้งอันดับท้าย ๆ แถมไม่มีเทคโนโลยีอะไรโดดเด่นน่าจับตา
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
สิ่งที่บริษัทมีและเป็นสิ่งที่ Amazon อยากได้ คือ ลิขสิทธิ์หนังดัง “James Bond” “Rocky” “Real Housewives” และเรียลิตี้โชว์อย่าง “Survivor”
แต่เป้าหมายหลักของ Jeff Bezos แห่ง Amazon ไม่ใช่ต้องการโค่นคู่แข่งในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Netflix HBO หรือ Disney แต่แค่ต้องการได้คอนเทนต์ดี ๆ ไว้ดึงลูกค้าให้อยู่กับ Amazon Prime นาน ๆ
ดีล MGM ครั้งนี้ แม้จะเป็นดีลที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับสองของ Amazon และเป็นดีลแรกในประวัติศาสตร์ที่ยักษ์ไฮเทคเข้าควบรวมกับบริษัทในวงการบันเทิง แต่สำหรับ Jeff Bezos แล้วเป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ตรึงฐานลูกค้าของ Amazon Prime และขยายฐานลูกค้าใหม่
Amazon Prime คือ บริการสมาชิกรายเดือนที่ให้ลูกค้าเข้าถึงส่วนลดและสิทธิพิเศษเมื่อช็อปปิ้งผ่าน Amazon ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง โหลด e-Book ฟรี ไปจนถึงได้บริการส่งฟรีส่งด่วนถึงบ้านเมื่อช็อปปิ้งผ่าน Amazon หรือ Whole Foods Market
ปัจจุบันมีสมาชิก Prime กว่า 175 ล้านคนจาก 200 ล้านคนทั่วโลกที่ดูหนังและรายการทีวีผ่าน Prime Video แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของ Amazon
เพื่อมัดใจลูกค้ากลุ่มนี Jeff Bezos จึงใจป้ำใส่เงินหลายพันล้านเหรียญต่อปี เพื่อให้ Prime Video เอาไปผลิตหรือกว้านซื้อคอนเทนต์ดี ๆ มาตุน
Jeff Bezos ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์และมักใช้กลยุทธ์นอกตำราในการขยายอาณาจักร Amazon เช่น ตอนที่ตั้งบริษัท Amazon Web Servicesในปี 2006 ไม่มีใครคาดคิดว่าบริษัทแห่งนี้จะกลายเป็นผู้นำ cloud computing และสร้างรายได้หลักให้ Amazon อย่างในปัจจุบัน
หลายคนเชื่อว่าการโดดเข้ามาในวงการสตรีมมิ่งน่าจะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่ต้องการใช้เติมเต็มบริการดิจิทัลทั้งหมดที่ Amazon มีอยู่ในมือ
เป้าระยะยาว น่าจะเป็นการดึงคอนเทนต์มาเสริมจุดแข็งในบริการคอมเมิร์ซ และค่อย ๆ หยั่งลึกลงในอุตสาหกรรมคอนเทนต์สตรีมมิ่ง
ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้เทคนิคนี้ชนะใจเจ้าของลิขสิทธิ์ Lord of the Rings อย่าง J.R.R. Tolkien Estate มาแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผู้เสนอราคาประมูลสูงสุด ที่ชนะก็เพราะเอาจุดแข็งในการเป็นอาณาจักรร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาทำให้จุดอ่อนด้านอื่น ๆ เป็นเรื่องขี้ผง
ทำให้ J.R.R. Tolkien Estate ตระหนักว่า หากเลือก Amazon นอกจากจะได้เงินลิขสิทธิ์แล้ว ยังได้ช่องทางการโปรโมตหนังสือฟรี ๆ อีกหลายเรื่อง ทั้ง “The Hobbit” “The Silmarillion” เป็นต้น
Amazon ไม่ได้หวังเงินค่าสตรีมมิ่งรายเดือนเหมือน HBO Netflix แต่เป็น value added service เสริมจุดแข็งให้ Prime ด้วยหลักคิดว่า หากส่งฟรีส่งด่วนไม่เร้าใจพอ หากการโหลดเพลงฟรีกลายเป็นเรื่องจำเจ
และหากการได้ส่วนลดของแถมดูเบสิกเกินไป งั้นเอาคอนเทนต์หนังหรือซีรีส์ดี ๆ ไปดูให้จุใจเลย เราพร้อมเป็นทุกอย่างให้คุณ ขอเพียงยังจ่ายค่าสมาชิก และช็อปปิ้งกับ Amazon ต่อไป