“เสียวหมี่” ย้ำกลยุทธ์ xAIoT ปักธงยึดแชมป์สมาร์ทโฟน

“เสียวหมี่” ย้ำกลยุทธ์ “Smartphone x AIoT” เดินหน้าเขย่าตลาดสมาร์ทโฟนต่อเนื่อง หลังเบียดแชมป์ขึ้นเป็นที่ 2 ในตลาดโลก ขณะที่ในไทยเร่งเกมตลาดโค้งท้าย ทั้งเปิดตัวสินค้าใหม่ควบคู่การขยาย Xiaomi Store ปักธง 100 แห่ง รักษาแชมป์สมาร์ทโฟน

นายโจนาธาน คัง ผู้จัดการ เสียวหมี่ประเทศไทย กล่าวว่า เสียวหมี่ยังคงให้ความสำคัญกับการผลักดันกลยุทธ์ “Smartphone x AIoT” โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรม

และเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนควบคู่ไปกับเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ AIoT ในทุกกลุ่มสินค้า ทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคจำนวนมาก ทั้งสมาร์ทแบนด์, สมาร์ทวอตช์, สมาร์ททีวี, หุ่นยนต์ดูดฝุ่น, เครื่องฟอกอากาศ, และอีกมากมาย

รีแบรนด์พรีเมี่ยมย้ำ x AIoT

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ AIoT (ไม่รวมสมาร์ทโฟน และแล็ปทอป) มากกว่า 374.5 ล้านเครื่อง เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม IOT ผ่าน Mi Smart Home App ซึ่งเปรียบได้กับศูนย์กลางการควบคุม และดูข้อมูลที่จำเป็นของทุกผลิตภัณฑ์ในอีโคซิสเต็ม

และในปีนี้ยังถือเป็นปีที่น่าตื่นเต้นสำหรับเสียวหมี่จากการรีแบรนดิ้ง โดยปรับภาพลักษณ์ให้มีความสด ภายใต้แนวคิด Alive เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาดสมาร์ทโฟนพรีเมี่ยม

และยกระดับการรับรู้ของแบรนด์ พร้อมไปกับการประกาศรุกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ ด้วยการจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในเฟสแรกที่เริ่มในปีนี้ได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านหยวน

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวมจากการขายสมาร์ทโฟน 59.1 พันล้านหยวน เติบโต 86.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขึ้นเบอร์ 2 สมาร์ทโฟนโลก

จากข้อมูลบริษัทวิจัยคานาลิส (Canalys) ระบุว่า ในไตรมาส 2 เสียวหมี่มีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน 17% ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากซัมซุงที่มีส่วนแบ่งตลาด 19% และเป็นอันดับ 1 ใน 22 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวระบุว่า ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกโตลดลง 9% ส่วนกลุ่มสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีราคาเครื่องสูงกว่า 500 ดอลลาร์สหรัฐ ยังเติบโตต่อเนื่องเพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อ และยอมจ่ายเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น

สำหรับตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ไตรมาส 2 เติบโตลดลง 9% เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลก แต่เชื่อว่าความต้องการในไตรมาส 4 จะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะสมาร์ทโฟนยังเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภคปัจจุบัน

ปูพรม Xiaomi Store ในไทย

ผู้บริหารเสียวหมี่กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ด้วยว่า นอกจากกลยุทธ์ข้างต้นแล้ว จะเดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง

ทั้งสมาร์ทโฟนและสินค้าในกลุ่ม AIoT ที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในราคาจับต้องได้ เพื่อรักษาการเติบโต และส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในไทยต่อเนื่อง

“ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เราโตขึ้นต่อเนื่องสูงกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ โดยไตรมาสแรกโตได้ถึง 300% ไตรมาส 2 ก็โตถึง 200% ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่จุดเริ่มต้น

เสียวหมี่ยังต้องทำอะไรอีกมากเพื่อรักษาการเติบโตนี้ไว้ หนึ่งในนั้นคือ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดี และการบริการที่เข้าถึงผู้บริโภค”

โดยมีแผนจะขยาย Xiaomi Store ต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ทดลอง และสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของเสียวหมี่มากขึ้น จาก 38 แห่งในปัจจุบันเพิ่มเป็น 100 แห่งภายในสิ้นปี

แม้จะเหลือเวลาอีกเพียง 4 เดือน แต่ก็เชื่อว่าจะทำได้ครบตามแผนด้วยความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์หลายราย


ส่วนปัญหาการขาดแคลนชิปเซตถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการและส่งผลกระทบต่อหลายแบรนด์ โดยเสียวหมี่ให้ความสำคัญกับตลาดไทย และจะทำดีที่สุด เพื่อนำสินค้ามาให้ผู้บริโภคไทยได้ใช้