อะโดบีเปิดเทรนด์จับจ่ายโค้งท้าย คาด 2 เดือนแห่ช็อปทะลุ 133 ล้านล้านบาท

“อะโดบี” เปิดผลสำรวจปลายปีช่วง 2 เดือนสุดท้าย คาดคนทั่วโลกแห่ช็อปสินค้าพุ่ง 133 ล้านล้านบาท เฉพาะช่องทางออนไลน์คาดมีมูลค่าถึง 30 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน ขณะที่คนอเมริกันจะใช้จ่ายผ่านออนไลน์ทะลุ 6.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะซัพพลายมีปัญหา ดันราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.3%

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นายแพทริก บราวน์ รองประธานฝ่ายการตลาด และข้อมูลเชิงลึกของอะโดบี กล่าวว่า ช่วงปลายปีถือเป็นเทศกาลของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคทั่วโลก โดยล่าสุดอะโดบีได้เปิดผลสำรวจจากรายงานดัชนีเศรษฐกิจดิจิทัลของอะโดบี เก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซทั่วโลกและในสหรัฐอเมริกา เพื่อคาดการณ์การช็อปปิ้งที่จะเกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ (วันที่ 1 พฤศจิกายน-31 ธันวาคม 2564)

โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 23 กันยายน-1 ตุลาคม 2564 ซึ่งการเก็บข้อมูลสหรัฐครอบคลุมการเข้าชมเว็บไซต์ค้าปลีกในสหรัฐกว่า 1 ล้านล้านครั้ง และสินค้ากว่า 100 ล้านรายการใน 18 หมวด ด้วยการสำรวจความคิดเห็นจากการตอบแบบสอบถามของผู้บริโภคที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในสหรัฐ จำนวน 1,012 คน ส่วนการเก็บข้อมูลทั่วโลกได้เก็บข้อมูลจากการทำธุรกรรมในกว่า 100 ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ ทวีปอเมริกา เอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

จากรายงานดังกล่าวคาดการณ์ว่าระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2564 ยอดใช้จ่ายทั่วโลกตลอดปี 2564 จะสูงกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 133 ล้านล้านบาท และคาดว่ายอดใช้จ่ายออนไลน์ทั่วโลกจะมีมูลค่าทะลุ 910 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 30 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ส่วนยอดขายสินค้าออนไลน์ในสหรัฐ ช่วงเทศกาลช็อปปิ้งปลายปีจะมีมูลค่า 207 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องซื้อสินค้าผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น

โดยเฉลี่ยแล้วผู้บริโภคในสหรัฐจะใช้เวลา 12 ชั่วโมงกับการช็อปออนไลน์ในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ ซึ่งช่วงนาทีทองของอีคอมเมิร์ซจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 19.00-23.00 น. โดยผู้บริโภคจะใช้จ่ายเงิน 2.9 พันล้านดอลลาร์ผ่านทางออนไลน์ในช่วงเวลาเพียง 4 ชั่วโมง

นายแพทริกกล่าวว่า แม้อีคอมเมิร์ซได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในสหรัฐ แต่ความสนใจซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลหลัก ๆ ลดลง เช่น Black Friday วันขอบคุณพระเจ้า ที่มีอัตราการเติบโตน้อยกว่าเทศกาลโดยรวม

นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า การจับจ่ายช่วงเทศกาลปลายปีนี้อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาด้านซัพพลายเชน เช่น ปัญหาความหนาแน่นของสินค้า ตู้คอนเทนเนอร์ของท่าเรือ การขนส่งที่ล่าช้า และการผลิตสินค้าในต่างประเทศที่หยุดชะงัก ขณะที่ความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้สินค้าบางกลุ่มขาดสต๊อก โดยจากการเก็บข้อมูลตลอดช่วงเทศกาล จากสินค้า 18 หมวด พบว่ากลุ่มเครื่องแต่งกายเป็นสินค้าที่หมดสต๊อกมากที่สุด ตามด้วยอุปกรณ์กีฬา ผลิตภัณฑ์สำหรับทารก และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ขณะเดียวกันปัญหาซัพพลายเชนที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ราคาสินค้าออนไลน์ปรับสูงขึ้น 3.3% ในช่วงเริ่มเข้าสู่เทศกาลปลายปี โดยผู้ค้าปลีกกำลังหาทางแก้ไขปัญหาด้านซัพพลายเชนอยู่

อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าอีคอมเมิร์ซไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นเร็วเท่าสินค้าออฟไลน์ (หน้าร้าน) โดยอะโดบีคาดว่าผู้บริโภคในสหรัฐจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9% ในช่วง Cyber Week ของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนลดที่น้อยลง อีกทั้งยังเกิดสถานการณ์เงินเฟ้อในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมาต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งอะโดบีคาดว่าปีนี้ส่วนลดของสินค้าทุกหมวดในช่วงเทศกาลปลายปีจะอยู่ที่ 5-25% จากปีก่อนที่ค่าเฉลี่ยส่วนลดอยู่ที่ 10-30%

หากเจาะลงรายละเอียด ส่วนลดแต่ละหมวดสินค้า พบว่าสินค้าทุกประเภทที่นิยมให้เป็นของขวัญจะมีส่วนลดน้อยลง เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์โดยรวมจะลดสูงสุดได้เพียง 22% จากปีก่อนที่มีส่วนลดถึง 27% เช่น คอมพิวเตอร์จะมีส่วนลดแค่ 25% จากปีก่อนอยู่ที่ 30% โทรทัศน์อยู่ที่ 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 18% เป็นต้น ส่วนสินค้าประเภทเครื่องกีฬาจะลดได้สูงสุดเพียง 14% น้อยกว่าปีก่อนที่ลดได้ถึง 20%

สำหรับรูปแบบการชำระเงินนั้นพบว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มจะใช้บริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการจับจ่ายใช้สอยช่วงเทศกาลปลายปี นอกจากนี้มีแนวโน้มการใช้บริการแบบไดรฟ์ทรูมากขึ้น หรือคิดสัดส่วน 25% ของคำสั่งซื้อออนไลน์ทั้งหมด เนื่องจากผู้บริโภคมองหาวิธีการช็อปปิ้งที่ปลอดภัย

จากข้อมูลของอะโดบี รวมถึงข้อมูลวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและกระแสโซเชียลมีเดีย ยังคาดว่าของเล่นยอดนิยมในช่วงเทศกาลปลายปี ได้แก่ Tamagotchi Pix, Pop Fidget, Got2Glow Fairy Finder, Baby Yoda และ Gabby’s Dollhouse ส่วนอุปกรณ์เล่นเกมยอดนิยม ได้แก่ Nintendo Switch OLED, PlayStation 5, Xbox Series S/X และ Stream Deck

ขณะที่เกมยอดนิยมคาดว่า จะเป็น Metroid Dread, Battlefield 2042, Pokemon Brilliant Diamond & Shining Pearl, Halo Infinite และ FIFA 22 ส่วนของขวัญยอดนิยมอื่น ๆ ได้แก่ Airpods Max, ถ้วยกาแฟอัจฉริยะ, หม้ออเนกประสงค์ Instant Pot, หม้อทอดไร้น้ำมัน, กระบอกน้ำอัจฉริยะ, โดรน และเครื่องเล่นแผ่นเสียง

นอกจากนี้ยังคาดว่ายอดซื้อสมาร์ทโฟนจะครองสัดส่วน 42% ของรายได้โดยรวมในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ เพิ่มขึ้น 5% จากปี 2563

“เทศกาลช็อปปิ้งปลายปีกำลังกลับมาอีกครั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังคงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ สินค้าจะมีจำนวนจำกัด ราคาสูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็กังวลว่าการขนส่งจะล่าช้า แต่ก็ยังนิยมซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ เพราะเป็นช่องทางที่มีความยืดหยุ่นในการเลือกซื้อสินค้า และเลือกช่วงเวลาในการซื้อได้”