คอลัมน์ : Pawoot.com ผู้เขียน : ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
สถานการณ์สตาร์ตอัพตอนนี้หลายตัวยังดูดี แต่หลายธุรกิจอาจมีปัญหาบ้างช่วงโควิด ต้องบอกว่าช่วงโควิด ธุรกิจสตาร์ตอัพหลายบริษัทได้ผลบวก เพราะหลายคนหันมาใช้ดิจิทัลมากขึ้น ฉะนั้นบริษัทด้านดิจิทัลหลายแห่งได้รับผลประโยชน์จากตรงนี้ไปค่อนข้างเยอะ
วงการสตาร์ตอัพเป็นวงการที่ตอนเติบโตยุคแรก ๆ จะเป็นธุรกิจที่ได้รับเงินจากนักลงทุน หรือพวก venture capital นักลงทุนเองก็มีหลายระดับ หากเป็นการเปิดบริษัทมาใหม่ ๆ อาจต้องการนักลงทุนตัวเล็ก หรือ angel investor หรือบางคนต้องการเป็นแบบ seeding คือเอาวงเงินหลักแสนบาทถึง 1-2 ล้านบาทไปเลย
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
เมื่อธุรกิจสตาร์ตอัพเล็ก ๆ ได้เงินจาก angel investor มาทำให้โฟกัสการทำสินค้าหรือบริการออกมาในทางที่ดีขึ้น และจ้างคนเก่ง ๆ ได้โดยไม่ต้องสนใจในเรื่องกำไรหรือขาดทุน ทำให้ธุรกิจมีอัตราการเติบโต
ต่างจาก SMEs ที่ต้องเริ่มด้วยตัวเอง อาจต้องใช้เงินตัวเอง หรือไปกู้ธนาคาร ทำให้ SMEs มีไมนด์เซตคนละอย่างกับสตาร์ตอัพ คือ SMEs จะค่อย ๆ ทำไปเพราะใช้เงินตัวเอง หรือไปกู้มา ไม่กล้าโต กลัวขาดทุน ต้องโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่สตาร์ตอัพไม่กลัวขาดทุน เพราะไม่ใช่เงินตัวเองจึงเติบโตตลอด เมื่อมีอัตราการเติบโต นักลงทุนกลุ่มต่อไปก็สนใจ และมีเงินก้อนใหม่เพิ่มเข้ามา
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนที่จะมีภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้น การระดมเงินจากนักลงทุนเป็นเรื่องที่มีความท้าทายมากขึ้น เพราะนักลงทุนก็ต้องมีความระมัดระวัง หลายคนคิดว่าเก็บเงินสดไว้ก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งไปลงทุนในสตาร์ตอัพ ทำให้การลงทุนในสตาร์ตอัพมีน้อยลง สตาร์ตอัพหลาย ๆ แห่งลำบากขึ้น
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ครั้งนี้เหมือนฟองสบู่สตาร์ตอัพแตกหรือไม่ ผมมองว่ายังไม่แตก แต่อาจหดตัวในบางพื้นที่ เช่น ประเทศจีน ที่เราได้ข่าวว่ารัฐบาลจีนส่งสัญญาณอย่างรุนแรงมาก เบรกบรรดาบริษัทเทคโนโลยีในจีน ไม่ว่าจะเป็น อาลีบาบากรุ๊ป เหม่ยถวน (Meituan) แพลตฟอร์มการขายอาหารของจีน ฯลฯ ก็โดนรัฐบาลจีนเข้าไปเบรกทั้งหมด
ทำให้ในแง่ของภาวะการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี หรือสตาร์ตอัพในประเทศจีนเกิดความชะงัก เพราะรัฐบาลจีนมองว่าบริษัทเหล่านี้เริ่มเติบโตและเริ่มปีกกล้าขาแข็ง เริ่มมีอำนาจผูกขาด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนไม่ชอบจึงสกัดกั้น
ในปีที่แล้วและปีนี้จะเริ่มเห็นว่าหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีของจีนตกกันระเนระนาด ตอนนี้กำลังค่อย ๆ กลับมาเพราะรัฐบาลจีนเริ่มเห็นแล้วว่าการไปเบรกมากเกินไป ทำให้เศรษฐกิจของจีนเองเริ่มถดถอย
สิ่งที่จะช่วยเร่งให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็ว คือการกลับมาสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่กลับมาแบบต้องมีกรอบที่ชัดเจน ฉะนั้น จีนในช่วงวิกฤตนี้ ผมขอใช้คำว่ากำลังกลับมาแล้ว สำหรับประเทศอื่น เช่น อเมริกา ก็มีผลกระทบมากเลยทีเดียว นักลงทุนหลาย ๆ คนกำเงินสดเอาไว้ การลงทุนเป็นไปได้ลำบากมากขึ้น
ตัวผมเองเป็นนักลงทุน angel investor เช่นกัน ผมกลับมองว่าช่วงนี้เป็นโอกาสของนักลงทุน เพราะเมื่อก่อนบรรดาสตาร์ตอัพขึ้นชื่อเลยว่า overvalue คือแพงเกินไป ฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ บรรดาบริษัทสตาร์ตอัพที่เคยต้องลงทุนแพง ตอนนี้ราคาเริ่มลงมาแล้ว ทำให้นักลงทุนกลับเข้าไปลงทุนได้ง่ายมากขึ้น
ในไทยเอง บริษัทสตาร์ตอัพน้อยลงจริง ๆ เพราะการสนับสนุนจากภาครัฐน้อยลง แต่ยังมีสตาร์ตอัพหลายแห่งที่อยู่รอดและเติบโต บางแห่งเติบโตในรูปแบบที่ไม่ใช่การเบิร์นเงินแล้ว แต่เติบโตในรูปแบบที่เรียกว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องอยู่รอดให้ได้ สตาร์ตอัพไม่เหมือน SMEs ตรงที่ยังมีนวัตกรรม และมีความได้เปรียบในแง่ที่ยังมีเงินจากนักลงทุนมาจุนเจือในบางช่วง
ผมจึงเชื่อว่าธุรกิจสตาร์ตอัพยังไปได้ อย่างผมเป็นนักลงทุนในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ลงทุนในสตาร์ตอัพไทยไปเกือบ 40 บริษัท ช่วงแรกเข้าไปลงทุนแบบ angel investor ได้หุ้นมาจำนวนมาก และปีที่แล้ว ผม exit คือขายหุ้นบางส่วนออกไป
นักลงทุนแบบ angel investor หรือกลุ่มแรก ๆ จะมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะโอกาสที่บริษัทจะเจ๊งมีสูงมาก เมื่อไปลงทุนในช่วงที่มีความเสี่ยง สิ่งที่จะได้ตอบแทนกลับมาคือหุ้นจำนวนมาก หากลงทุนสตาร์ตอัพในช่วงสเตตหรือเริ่มเติบโต เริ่มมีรายได้หรือกำไร บริษัทจะเริ่มแพงขึ้น ฉะนั้นจ่ายเท่าเดิมอาจได้หุ้นน้อยลง หรือซื้อไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หลักการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพ หรือเป็น angel investor ของผม คือ ปกติคนจะลงแต่เงินให้น้อง ๆ ไปทำกันเอง แต่ผมจะเข้าไปช่วยวางแผน วิเคราะห์กลยุทธ์ ไปช่วยดู ไปแนะนำ เอาเน็ตเวิร์กที่มีไปช่วย ฯลฯ จนเขาเติบโต ผมจะเป็นนักลงทุนแบบ venture builder ทำให้ธุรกิจที่ผมเข้าไปลงทุน อัตราที่จะประสบความสำเร็จมีสูงกว่าบริษัทที่มีแต่นักลงทุนทั่วไป เท่าที่ผมลงทุนมาสิบปี ส่วนใหญ่บริษัทที่ผมเข้าไปลงทุนในระยะ 5-6 ปี เป็นระยะที่บริษัทเหล่านั้นสามารถเติบโตและทำรายได้
ปีที่แล้ว ผมมีการ exit หรือขายหุ้นไปประมาณ 5 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโต มีนักลงทุนกลุ่มต่อไปมารับต่อ เป็นนักลงทุนที่เป็น venture capital ที่ลงทุนจำนวนมาก เช่น เป็นพวก corporate venture capital ในกลุ่มธนาคาร องค์กร บริษัทขนาดใหญ่ที่มีการตั้งเป็นกองทุนขึ้นมาเพื่อลงทุน
กลุ่มบริษัทเหล่านี้จะลงทุนในรอบที่เริ่มมีการเติบโตแล้ว ข้อดีคือ ปลอดภัย เพราะอยู่ในระยะที่โตแล้ว เริ่มทำกำไร แต่ต้องซื้อในราคาที่แพงขึ้นเป็นหลักสิบล้านร้อยล้านในจำนวนหุ้นที่เท่ากันกับผมเมื่อเริ่มต้น
ผมอาจขายหุ้นส่วนหนึ่งที่มีอยู่ให้กับนักลงทุนกลุ่มต่อไป ผมเองก็ทำกำไรจากการขายหุ้น นั่นคือการ exit บางส่วน แต่ยังถือหุ้นบางส่วนเอาไว้ เพราะถือว่าหากบริษัทเหล่านี้ยังเติบโตต่อไปได้ เดี๋ยวก็มีนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาลงทุนต่อ หรือบางบริษัทมีแนวโน้มที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ผมก็สามารถขายหุ้นได้อีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือเส้นทางของนักลงทุนที่เป็น angel investor ในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีหรือสตาร์ตอัพ ซึ่งเมืองไทยมีน้อยมาก เพราะเป็นสิ่งใหม่และยังไม่ค่อยมีใครทำสำเร็จ ผมอาจเป็นกลุ่มคนแรก ๆ ที่ลงทุนและสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพในประเทศไทยได้ครับ