KBTG พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ลงทุน ‘คน-เทคโนโลยี’ ฝ่าพายุเศรษฐกิจ

KBTG-เคบีทีจี หรือบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป เป็นบริษัทเทคโนโลยีในเครือกสิกรไทย มีภารกิจหลักในฐานะผู้สนับสนุน ธนาคารกสิกรไทย ให้ก้าวไปสู่การเป็นธนาคารที่ดีที่สุด รวมทั้งบทบาทในการพัฒนาโซลูชั่น

ร่วมกับพันธมิตรในอีโคซิสเต็มส์ต่าง ๆ ให้พร้อมรับมือกับเทคโนโลยี พฤติกรรมลูกค้า และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง โดยในช่วงโควิดที่ผ่านมาได้ทรานส์ฟอร์มตนเองเป็นบริษัทเทคโนโลยี (เทค คัมปะนี) อย่างเต็มตัว

ล่าสุดประกาศวิสัยทัศน์ 2025 ผ่านแนวคิด Human First, Universe of Technology เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี 2568

ภารกิจหลักบนเป้าหมายใหม่

นางวรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) กล่าวว่า KBTG มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนธนาคารกสิกรไทย ที่ต้องการเป็น Best Bank ธนาคารที่ดีที่สุด ซึ่งต้องเติบโตอย่างยั่งยืน และแข่งขันได้ ทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการของธนาคารได้ง่าย Best Tech Company ที่ไม่ได้ทำเพื่อธนาคารอย่างเดียว

แต่จะพัฒนาโซลูชั่นครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ให้พร้อมรองรับเทคโนโลยี พฤติกรรมลูกค้า และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และ Best Costomer Experience/Empowerment ตอบสนองการใช้งานของลูกค้าที่เปลี่ยนไปสู่การทำงานได้ทุกที่ มีประสบการณ์ในการใช้งานทุกช่องทางไม่มีสะดุด ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์บริการเพื่อโลกการเงินการลงทุนยุคใหม่

“เราอยากอยู่ในใจของลูกค้าทุกกลุ่ม และที่สำคัญ คือเป็นองค์กรที่ดีที่สุดในใจของพนักงานเราเอง”

บริการของธนาคาร อย่าง K Plus แม้ไม่ได้มีผู้ใช้งานมากที่สุด แต่ปัจจุบันมีโวลุ่มราว 40% ของตลาด ดังนั้น การล่มหนึ่งครั้งจึงเป็นเรื่องใหญ่ มีผลกับเศรษฐกิจประเทศ ทำให้การบำรุงรักษาและพัฒนาระบบเป็นหน้าที่สำคัญ ซึ่งต่อไปจะมีผู้ใช้งานถึง 100 ล้านคน จึงต้องมีการประมวลผลตลอดเวลา

“แกนกลางเทคโนโลยีของธนาคารหลายอย่างเป็น Legacy ที่ต้องบำรุงรักษา จากบุคลากร 1,800 คนในวันนี้ มากกว่า 50% ต้องเฝ้าระบบ ขณะที่นวัตกรรมใหม่ๆ จะเกิดได้ต้องมีคนอีกกลุ่มช่วยสร้างช่วยคิดโซลูชั่นนำไปต่อกับระบบเก่า ซึ่งส่วนที่ยาก คือทำอย่างไรที่จะประสานคนเก่ากับคนใหม่ด้วยกัน”

มุ่ง 3 แกนสู่วิสัยทัศน์ 2025

ด้าน นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) กล่าวว่าวิสัยทัศน์ 2025 จะก้าวไปอีกขั้นสู่การมีส่วนสำคัญของการสร้างยุคใหม่ ที่เรียกว่า Human First, Universe of Technology ที่ใช้ความเชี่ยวชาญ และความคิดสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งมอบอำนาจให้ผู้ใช้งาน พันธมิตร และสังคม เพื่อเดินไปสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยจะดำเนินการใน 3 ส่วน คือ 1.การพัฒนาบุคลากร ทั้งการจัดกิจกรรมเพื่ออัพสกิลบุคลากร และเปิดรับพนักงานที่มีทักษะด้าน Dev, Data, Design รวมถึงสาย DeFi, Blockchain เพื่อบุกเบิกบริการใหม่ และ Empower พนักงานที่มีอยู่เดิมให้ทำสิ่งใหม่มากขึ้น ทำงานได้หลากหลายขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นด้วยอัตราคนเท่าเดิม

2.การพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี เตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับเทรนด์การใช้งานทั้งโลกบริการทางการเงินปัจจุบันและอนาคต ด้วยงบฯลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน KX Endless Capital กองทุนที่จัดตั้งโดย KASIKORN X กำลังจะเปิดตัวการลงทุนแรกในโลกของ DeFi, Web3 และ Blockchain เร็วๆ นี้

และ 3.ยกระดับความสามารถทางนวัตกรรม ด้วย KBTG Labs เป็นหน่วยงานที่รวมคนที่มีความรู้ด้านธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ การออกแบบ UX/UI และทำวิจัยด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้างโซลูชั่นที่ดี

ในแง่ผลงานของ KBTG มีการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การเปิดตัว Kubix บริการ ICO Portal ระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล และ Coral แพลตฟอร์มจำหน่าย NFT พัฒนาโดย KASIKORN X ขณะที่ตัวเลขผู้ใช้บริการ

อาทิ แอปพลิเคชั่น K PLUS ก็เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมียอดผู้ใช้เกิน 18.6 ล้านราย, แอปพลิเคชั่น “ขุนทอง” มีสมาชิกกว่า 850,000 คน และบริการ MAKE by KBank มียอดผู้ใช้กว่า 400,000 ราย เป็นต้น

ย้ำ “คน” หัวใจสำคัญ

นายเรืองโรจน์กล่าวว่า ตั้งแต่มีการทรานส์ฟอร์มบริษัท กำลังคนก็เติบโตขึ้นจากปี 2019 มี 1,000 คน เพิ่มเป็น 1,800-2,000 คน ในปี 2021 ขณะที่อันดับการมีส่วนร่วมของพนักงานก็เพิ่มขึ้น 10% และได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วยที่สุดในโลกระหว่าง ปี 2020-2021 โดย HR Asia

ปัจจุบัน ระหว่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจ แวดวงเทคโนโลยีและ Fintech ยังแข็งแกร่ง เห็นได้จากการเติบโตของเม็ดเงินลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังมีแนวโน้มที่ดี

“การจะเป็น เทค คัมปะนี ได้ พนักงานมีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะในสายที่ขาดแคลนทั่วโลก คือสายพัฒนาซอฟต์แวร์ ทำให้พนักงานประจำในไทยกว่า 1,100 คน จาก 1,800 คน เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ และอยู่ในสายงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งมีพนักงานเอาต์ซอร์ซอีกนับพัน โดยภายในสิ้นปีนี้น่าจะเพิ่มพนักงานประจำอีกกว่า 1,000 คน รองรับการขยายธุรกิจในอาเซียน +3 ซึ่งการจะ Empower คนอื่น เราต้องทุ่มเทพนักงานเราก่อน เพราะถือสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด”

สยายปีกตลาดอาเซียน

นายเรืองโรจน์กล่าวว่า ปัจจุบันถือเป็น New Era โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการเงิน ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้ลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท ขยายไปยังเวียดนามและมาเลเซีย ทำให้ KBTG ในฐานะผู้สนับสนุนด้านเทคโนโลยีกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับภูมิภาคจึงต้องลงทุนพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอีกกว่า 10,000 ล้านบาท ผ่านการจัดตั้งกองทุน KX Endless Capital โดย Kasikorn X และคาดว่าเร็ว ๆ นี้จะเปิดตัวการลงทุนแรกในโลก DeFi, Web3 และ Blockchain เพื่อก้าวสู่เทคโนโลยีการเงิน “โลกใหม่”

“เราต้องเร่งให้เกิดนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง เพื่อนำมาเสริมความแข็งแกร่งให้ธนาคาร และผลักดันตนเองไปสู่การเป็นเทค คัมปะนี ที่ดีที่สุดในอาเซียน สร้างนวัตกรรมใหม่ที่จะเป็น New S Curve และทำรายได้ไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาทภายใน 5 ปีด้วย”

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

นายเรืองโรจน์กล่าวด้วยว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยไม่มีผลกับวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี พร้อมกับยกตัวอย่างการเติบโตของลูกค้า K Plus ที่เพิ่มจาก 10 ล้านคน เป็น 18 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นสองเท่าช่วงโควิด ทำให้ปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้น

จึงต้องเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและการบริการให้มีความเสถียร และลดปัญหาระบบล่ม เพื่อลดความเสียหายให้กับธนาคาร ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าลงทุนเทคโนโลยีการเงินโลกใหม่ ภายใต้บริษัท Kasikorn X ในเครือ KBTG กรุ๊ป ท่ามกลาง “Perfect Strom” และขาลงของตลาดคริปโตฯ

“วิกฤตดอตคอมทำลายสตาร์ตอัพที่ไม่ใช่ของจริง หรือบางบริษัทยุคนั้นมีไอเดียที่เพี้ยนมาก เช่น เว็บขายอาหารหมาออนไลน์ระดมทุนได้มากจนเอาไปลงโฆษณาในซูเปอร์โบวล์ได้ นั่นคือยุคเว็บ1.0 ที่จบลงทำให้เกิดบริษัทแบบ Google และ Amazon

ต่อมายุคเว็บ 2.0 เกิดโซเชียลมีเดีย และโมบายแอปฯจำนวนมาก การเกิดของเว็บใหม่ต้องทำลายของเก่า เทียบกับกรณีคริปโตฯ คนลงทุนรู้ดีว่าโปรเจ็กต์กว่า 95% ยังไงก็ตาย ตัวที่เหลือรอด และโผล่ขึ้นมาคือของจริง”

ทั้งมองว่าธนาคารอยู่ในจุดที่มีศักยภาพทางการเงินและทรัพยากรที่แข็งแกร่ง จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงทุน ตัวอย่างคือสมัยก่อนหาวิศวกรบล็อกเชนไม่ได้เลย แต่พอเกิดวิกฤตคริปโตฯ อยากได้วิศวกรบล็อกเชน 22 คนก็ได้เลยและภายในสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มขึ้นถึง 40 คน

“ฤดูหนาวคริปโตฯ คือโอกาสที่ดีที่ผมจะลงทุน พอโปรเจ็กต์อื่นตาย เหลือของจริง โมเดลธุรกิจจริงๆ ที่โผล่ขึ้นมา ผมไม่ได้ช้ากว่าคนอื่นเลย เพราะคนอื่นตายไปหมดแล้ว อีกอย่างคือทรัพยากรต่างๆ ถูกมากในช่วงนี้ เราจะไปทำงานกับคนที่เป็นของจริง ดังนั้น Perfect Storm หรือการระเบิดของแต่ละเว็บเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะทำลายล้างของปลอม เพื่อรอของจริงเกิดขึ้นมา”

และชัดเจนว่า KBTG จะไม่ใช่แค่ลมใต้ปีกของธนาคารอีกต่อไป แต่จะขยับไปสู่การเป็น “บิ๊กเทค” ที่มีทั้งผลิตภัณฑ์ของตนเอง และจากบริษัทสตาร์ตอัพที่เข้าไปลงทุนรายล้อมเป็น Universe of Technology สู่เป้าหมายระดับภูมิภาค