บูรณาการ 5 หน่วยงานบิ๊ก นำร่องเชื่อมโยงข้อมูลสู่ “บิ๊กดาต้า” ดัน “เทเลเมดิซีน” ยกระดับสาธารณสุขปฐมภูมิ แก้โจทย์ “ความมั่นคงทางสุขภาพ”
วันที่ 4 สิงหาคม 2565 คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข จัดประชุมหารือ “ก้าวต่อไปของการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข Big Rock1 : Health Security” โดยชี้ว่าแนวทางและความสำคัญในประเด็นปฏิรูป คือ การยกระดับสาธารณสุขขั้นปฐมภูมิ เชื่อมโยงข้อมูลด้วยเทคโนโลยีโทรคมนาคม “เทเลเมดิซีน” (Telemedicine) และปรับปรุงกฏระเบียบ เพื่อ “ความมั่นคงทางสุขภาพ”
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทแห่ขายเดือน เม.ย.นี้ จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.40%
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
โดยมีการร่วมมือหน่วยงานระดับบิ๊ก ได้แก่ 1.กระทรวงสาธารณสุข 2.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 3.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 4.กรุงเทพมหานคร และ 5.สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของการปฏิรูปที่ต้องการขับเคลื่อน และต่อยอดนโยบายการดำเนินงานในระยะกลาง เพื่อให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม สำหรับการจัดประชุมปรึกษาหารือในครั้งนี้ ยังคงกำหนดประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น
ได้แก่ 1.การปฏิรูปและสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพปฐมภูมิในกรุงเทพมหานคร 2.การพัฒนา Digital Health/Health Information Systems 3.การสร้างความเข้มแข็งของ NRA (National Regulatory Authority) โดยเฉพาะการจัดให้มีรูปแบบการบริหารจัดการองค์กรแบบใหม่ ดังที่เกิดช่วงโควิด-19 คือ มียาและวัคซีน แต่ติดข้อกฎหมายไม่สามารถนำมาใช้ได้ การปรับให้ทันท่วงทีจึงสำคัญยิ่ง
ย้ำการร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงข้อมูล คือการปฏิรูปสาธารณสุขที่สำคัญ
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขของประเทศ ต้องการความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการจัดระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่มีภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาร่วมมือกันแก้ปัญหา แม้ด้านการจัดการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพยังมีข้อจำกัด แต่ได้มีการร่วมมือกันพัฒนาด้านสารสนเทศจากหลายฝ่าย
“การจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ คือ ส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เมื่อประชาชนเข้าถึงระบบการรักษากับหมอครอบครัวได้สะดวกรวดเร็ว ก็จะสามารถหยุดความรุนแรงของโรค และลดโรคแทรกซ้อน การทำให้ประชาชนแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ลดความสูญเสียรายได้ของครอบครัว ภาพรวมรายได้ทางเศรษฐกิจ และประหยัดงบประมาณการรักษาพยาบาลของประเทศได้”
การเพิ่มศักยภาพการบริการด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพและการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการ และการนำนวัตกรรม เช่น ระบบเทเลเมดิซีน, แอปพลิเคชั่น สมาร์ท อสม. และอื่น ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา จะช่วยให้มีการสร้างความเข้มแข็งของระบบข้อมูลสุขภาพ การส่งเสริมนวัตกรรมการดูแลสุขภาพผ่านระบบสุขภาพดิจิทัล และการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านสุขภาพแห่งชาติ (National Digital Health Platform) และการพัฒนากําลังคนในด้านนี้
ด้านศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวง อว. ได้มีการสนับสนุนการนำนวัตกรรมทั้งทางด้านสังคมและเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ และการเชื่อมโยงข้อมูลของส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
“การปฏิรูปประเทศนั้นมีหลายด้าน ทั้งด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ หรือด้านการเมือง แต่ด้านสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด”
ศ.พิเศษ ดร.เอนกกล่าวเสริมด้วยว่า กระทรวง อว. ในฐานะหน่วยวิชาการ วิจัยและพัฒนา เราพร้อมให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย ด้านวิชาการ การพัฒนานวัตกรรมทั้งด้านดิจิทัล “เทเลเมดิซีน” ให้ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาล UHOSNET และงบประมาณเพื่อส่งเสริมการทำงานหน่วยบริการปฐมภูมิและการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ภายใต้ประเด็นการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบฐานข้อมูลสุขภาพของประเทศให้มีประสิทธิภาพ
พัฒนาคลาวด์-โทรคมนาคม เชื่อมโยงข้อมูลเป็น Big Data เสริมระบบสาธารณสุข
ด้านนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงดีอีเอส เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนงานปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขในช่วงหลายปีผ่านมา โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และกำลังคนด้านดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็น Big Data เพื่อการพัฒนางานดิจิทัลสุขภาพของประเทศ
“ต้องยอมรับว่าระบบดิจิทัลและข้อมูลสุขภาพมีความสำคัญมากในการยกระดับการบริการด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเบิกจ่าย การวินิจฉัยรักษา ตลอดจนการเชื่อมต่อบริการปฐมภูมิสู่ทุติยภูมิและตติยภูมิ การบริหารจัดการข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา
จากประเด็นความสำคัญดังกล่าว กระทรวงดีอีเอสได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ (Health Information Exchange) เพื่อเพิ่มคุณภาพการบริการแก่ประชาชน ผ่านระบบ Health Link ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่ได้รับมาตรฐานสากล”
นอกจากนี้ได้มีการพัฒนาระบบคลาวด์ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้เชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูลสุขภาพของประชาชน โดยรับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ดำเนินการงานดังกล่าว
“การบูรณาการข้อมูลสุขภาพของประเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลและสุขภาพดิจิทัลสู่ Big Data ในครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนางานบริการสุขภาพอื่น ๆ ของประชาชนให้สามารถเข้าถึงการบริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพในอนาคต” นายชัยวุฒิกล่าวทิ้งท้าย
ด้านศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ได้จัดตั้งกองทุนการบริการเพื่อสังคม (Universal Service Obligation) เรียกโดยย่อว่า USO เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของ กสทช. ที่จะต้องให้มีการกระจายการให้บริการโทรคมนาคมในฐานะโครงสร้างขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง
โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลเข้ามามีบทบาทสำคัญ และเป็นตัวกำหนดในการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพของประชาชน กสทช.จึงได้ผลักดัน Telemedicine ช่วยส่งเสริมการบริการด้านสาธารณสุข ซึ่งการนำเทคโนโลยีโทรคมนาคมมาใช้งานในด้านนี้นั้น ฝ่าย กสทช.มีความพร้อมอยู่แล้ว สามารถนำมาช่วยส่งเสริมให้ “เทเลเมดิซีน” เกิดได้ทั้งส่วนของภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรเกิดก่อน
“จากอดีตผู้ป่วยเมื่อเข้ารับการรักษาจนถึงการส่งกลับบ้านไม่มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ผมมองว่าเราควรทรานส์ฟอร์มกระบวนการดูแลผู้ป่วยตรงนี้ โดยใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคมมาช่วย ตั้งแต่การเข้ารับรักษาที่ขั้นปฐมภูมิ การส่งต่อ รพ.จังหวัด รพ.ศูนย์ จนถึงการส่งกลับบ้านที่มี อสม.ประจำอยู่ หากใช้โทรคมนาคมช่วยเชื่อมต่อ นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยแล้ว จะทำให้เกิดข้อมูลดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศด้วย”
เสริมกำลังคนเพื่อใช้เทคโนโลยี ยกระดับสาธารณสุขปฐมภูมิ
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการปฏิรูประบบสาธารณสุข เนื่องจากได้ผ่านบทเรียนที่สำคัญอย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 มา
“ระบบสาธารณสุขปฐมภูมิเป็นเรื่องสำคัญมากต่อระบบสาธารณสุขในเมืองใหญ่ เพราะเป็นหน่วยเชื่อมต่อการบริการสุขภาพพื้นฐานสู่การบริการระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ หากการเข้ารับการรักษาที่ปฐมภูมิมีปัญหา คน กทม.จำนวนมากจะมารอการรักษาที่โรงพยาบาลทำให้เกิดความแออัด”
ทั้งนี้การดูแลแบบ อสม.เองก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าต่างจังหวัด โดยกรุงเทพฯมี อสส. แต่ด้วยจำนวนอาสาสมัครน้อยและสูงอายุ หากใช้เทคโนโลยีมาช่วยเสริมจะต้องมีอาสาสมัครที่เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อสอนคนอื่นให้ใช้งานเป็น เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการสาธารณสุขผ่านเทคโนโลยีเทเลเมดิซีนได้ง่ายขึ้น
กรุงเทพมหานครกำลังขับเคลื่อนพื้นที่นำร่องการปฏิรูประบบสาธารณสุขตามข้อเสนอของคณะปฏิรูป โดยมีพื้นที่นำร่อง 2 แห่ง คือ ดุสิตโมเดล ซึ่งได้เปิดทดลองใช้ไปแล้ว และราชพิพัฒน์ Sandbox ซึ่งกำลังจะเปิดในวันที่ 26 สิงหาคม 2565 และจะนำสู่การขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ การบริการจัดการระดับเขต System Manager Model เป็นส่วนที่มีความสำคัญและเตรียมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ศึกษาแนวทางการดำเนินงานต่อไป เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในเชิงระบบ