“พรเทพ” ชี้ธุรกิจกอล์ฟแข่งดุ วอนรัฐหนุนงบฯจัดแมตช์ใหญ่ดึงต่างชาติ

สยามคันทรี่คลับ

“สยามคันทรีคลับ” พัทยา วอนรัฐบาลจัดสรรงบประมาณหนุนภาคเอกชนจัดแข่งขัน “กอล์ฟแมตช์ใหญ่” ระดับประเทศ หวังช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวไทย เผยช่วงไฮซีซั่นชาวต่างชาติ “เกาหลี-ยุโรป-ญี่ปุ่น” บินยกก๊วนแห่บินมาตีกอล์ฟเมืองไทยเพียบ ทำพัทยาเงินสะพัด ชี้ธุรกิจท่องเที่ยวสนามกอล์ฟข้ามชาติแข่งเดือด ไทยมีคู่แข่งสำคัญ ทั้ง “จีน-เวียดนาม-อินโดนีเซีย”

ดร.พรเทพ พรประภา ประธาน บริษัท สยามคันทรีคลับ จำกัด จังหวัดชลบุรี ซึ่งดำเนินธุรกิจสนามกอล์ฟในกลุ่มสยามกลการ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศ ทำให้มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาตีกอล์ฟในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับหนึ่งที่เข้ามาตีกอล์ฟมากที่สุดเป็นประเทศเกาหลีใต้ รองลงมาเป็นกลุ่มยุโรป และญี่ปุ่นตามลำดับ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนนักกอล์ฟที่เคยเข้ามาใช้บริการช่วงก่อนเกิด
โควิด-19 ในปี 2562 ยังถือว่ามีจำนวนกว่าประมาณ 30%

ดร.พรเทพ พรประภา
ดร.พรเทพ พรประภา

ปกติธุรกิจการท่องเที่ยวสนามกอล์ฟเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 18-19% หากย้อนกลับไปดูสถิติมูลค่าการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวสนามกอล์ฟของประเทศไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า ปี 2545 มีมูลค่าประมาณ 3,200 ล้านบาท ปี 2553 เพิ่มเป็น 4,420 ล้านบาท และปี 2565 เพิ่มเป็น 6,048 ล้านบาท

ดร.พรเทพกล่าวต่อไปว่า สนามกอล์ฟที่ได้รับความนิยมกระจายไปยังทุกภาคของประเทศ เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่เข้ามาท่องเที่ยวและตีกอล์ฟไปด้วย หากจัดอันดับสนามกอล์ฟที่มีผู้มาใช้บริการมากที่สุด อันดับหนึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รองลงมาเป็นภาคตะวันออกนิยมสนามกอล์ฟในพื้นที่พัทยา จังหวัดชลบุรี ส่วนภาคใต้เป็นสนามกอล์ฟในจังหวัดภูเก็ต ภาคตะวันตกเป็นสนามกอล์ฟใน
อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และภาคเหนือนิยมไปใช้บริการสนามกอล์ฟในจังหวัดเชียงใหม่

“เฉพาะภาคตะวันออกมีสนามกอล์ฟมากกว่า 30 แห่ง ทำให้แต่ละสนามกอล์ฟมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง และเมืองพัทยาถือได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีนักกอล์ฟเลือกเข้ามาใช้งานเป็นอันดับต้น ๆ ทำให้เงินสะพัดภายในจังหวัดค่อนข้างมาก โดยสยามคันทรีคลับมีสนามกอล์ฟอยู่ในพัทยา จ.ชลบุรีถึง 4 แห่ง ได้แก่ 1.สยามคันทรีคลับ โอลด์ คอร์ส 2.สยามคันทรีคลับ แพลนเทชั่น 3.สยามคันทรีคลับ วอเตอร์ไซด์ 4.สยามคันทรีคลับ โรลลิ่ง ฮิลส์” นายพรเทพกล่าว

นายพรเทพกล่าวต่อไปว่า สำหรับกลยุทธ์การตลาดในธุรกิจท่องเที่ยวสนามกอล์ฟของบริษัท สยามคันทรีคลับ พยายามพัฒนาคุณภาพด้านการบริการ และคุณภาพภายในสนามกอล์ฟให้อยู่ในระดับพรีเมี่ยม ดูแลรักษาฐานลูกค้าเดิม และทำการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการ
“ปัจจุบันหลายประเทศทำธุรกิจท่องเที่ยวสนามกอล์ฟ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะจีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย

ดังนั้น รัฐบาลไทยควรจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนในการจัดการแข่งขันกอล์ฟแมตช์ใหญ่ระดับประเทศ เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทย” นายพรเทพกล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ททท.สำนักงานระยอง เปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มเปิดประเทศกลางปี 2565 สนามกอล์ฟ 6 แห่งในจังหวัดระยอง ได้แก่ อ.บ้านฉาง 5 สนาม และ อ.วังจันทร์ 1 สนาม มีนักกอล์ฟและเยาวชนเกาหลีและญี่ปุ่นเข้ามาจำนวนมาก คาดว่าปี 2566 นักกอล์ฟจะเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้นักกอล์ฟต่างประเทศเริ่มเข้ามามาก โดยเฉพาะเกาหลี หากเฉลี่ยจำนวนผู้ตีกอล์ฟแต่ละวันทั้งหมด 6 สนาม (อ.บ้านฉาง 5 สนาม และ อ.วังจันทร์ 1 สนาม) ประมาณวันละ 1,000 คน ค่าใช้จ่ายหัวละ 2,500-3,000 บาท

โดยช่วงเดือนมกราคม 2566 สนามกอล์ฟใน จ.ระยอง ทั้ง 6 สนามเต็มหมด และมี 3 สนามคือ ระยอง กรีนวัลเล่ย์ คันทรีคลับ, เซนต์แอนดรูวส์ 2000 และซิลค์กี้ โอ๊ค นักกอล์ฟเกาหลีออกรอบคนละ 2 รอบ เช้า-บ่าย รอบละ 18 หลุม รวม 36 หลุม รวม 3 สนาม เกือบ 2,000 รอบ/วัน ทำให้เม็ดเงินสะพัดมากขึ้น

นอกจากนี้ ททท.สนง.ระยอง มีโครงการทำโปรโมชั่นช่วงโลว์ซีซั่นที่นักกอล์ฟเกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป กลับประเทศ โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้นักกอล์ฟทั้ง 6 สนาม สนามละ 300 สิทธิ คาดว่าประมาณคนละ 1,100-1,150 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างสรุปตัวเลขเพื่อกระตุ้นให้กับนักกอล์ฟนอกพื้นที่ จ.ระยอง และชาวต่างประเทศให้เข้ามาใช้บริการที่พัก ร้านอาหารใน จ.ระยอง ในวันธรรมดา จะเริ่มคิกออฟเดือน มี.ค.-พ.ค.นี้ คาดว่าจะมีค่าใช้จ่าย 3,000-5,000 บาท/คน


ปีนี้คาดว่าตัวเลขนักกอล์ฟต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ผ่านมาตัวเลขนักท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น อัตราเข้าพักในโรงแรมสูงขึ้นจาก 43% (ม.ค.-ก.ค.) และ 50% (ม.ค.-พ.ย.) และคาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมา 2.3-3 ล้านคน