คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
อุตสาหกรรมการผลิตข้าวในประเทศไทยมีมูลค่ารวมนับแสนล้านบาทต่อปี และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การแข่งขันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการส่งออกตลาดต่างประเทศ
“ถวิล ล้อพูนผล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล้อพูนผลไรซ์ มิลล์ จำกัด จ.นครสวรรค์ หนึ่งในผู้ประกอบการค้าข้าวรายใหญ่ของไทย ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเทศไทยต้องแข่งขันในธุรกิจค้าข้าวกับอินเดีย เวียดนาม ปากีสถาน และอีกหลายประเทศ ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจข้าวไม่ต่างจากการแข่งขันในธุรกิจอื่น ผู้ประกอบการต้องรวดเร็ว ถูกต้อง พยากรณ์อนาคตให้ดี เพราะตลาดค้าข้าวในประเทศไทยจะขึ้นกับต่างประเทศด้วย
หากข้าวในตลาดต่างประเทศราคาสูง ผู้ส่งออกจะเร่งซื้อข้าวเพิ่มเพื่อส่งออก ทำให้ราคาข้าวตลาดภายในประเทศสูงตามไปด้วย ฉะนั้นต้องรู้สถานการณ์ของประเทศคู่แข่งว่าจะเก็บเกี่ยวตอนไหน มีภาวะแห้งแล้งหรือไม่ ปลูกข้าวพันธุ์อะไร ต้องประมาณการว่าผลผลิตจะออกเท่าไหร่
ยกตัวอย่างสถานการณ์ในช่วงนี้ที่ราคาข้าวสูงขึ้น เพราะรัฐบาลอินเดียไม่ให้ผู้ประกอบการส่งออกข้าว เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญมีความแห้งแล้งเพาะปลูกยาก และจากภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดี จึงต้องการเก็บข้าวไว้ให้คนในประเทศ แม้มีสต๊อกอยู่ในประเทศกว่า 50 ล้านตัน แต่รัฐบาลอินเดียใช้วิธีการเพิ่มภาษีส่งออกข้าว 20-30% พยายามกดราคาข้าวในประเทศให้ประชาชนได้กินข้าวถูกลง ทำให้ไม่สามารถไปแข่งขันกับตลาดโลกได้ จากปกติที่ต้องส่งออกข้าว 12-13 ล้านตัน/ปี ฉะนั้น ข้าวในประเทศไทยกับเวียดนามจึงราคาสูงขึ้น
“คิดว่า ข้าวไทยยังคงเป็นเบอร์ 1 ของโลก และยังคงคุณภาพดี ที่มีปัญหาคือ ผู้ค้าข้าวในต่างประเทศ มักซื้อข้าวไทยนำไปผสมกับข้าวเวียดนาม อินเดีย แล้วเขียนเหมารวมว่า Thai Jasmine Rice ประเด็นนี้เป็นปัญหาที่หน่วยงานของไทยต้องมีมาตรการจัดการ เพื่อรักษาคุณภาพของข้าวไทยในต่างประเทศไว้ ไม่ให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียง”
ตั้งเป้ารายได้ 2,500 ล้านบาท
“ถวิล” บอกว่า บริษัท ล้อพูนผลฯ เริ่มต้นทำธุรกิจโรงสีข้าวมาประมาณ 20 ปีแล้ว มีโรงสีรวม 5 แห่ง จังหวัดนครสวรรค์ 1 แห่ง จังหวัดพิจิตร 1 แห่ง จังหวัดกาฬสินธุ์ 1 แห่ง และจังหวัดชัยนาท 2 แห่ง รายได้เฉลี่ยประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท/ปี ทำตลาดภายในประเทศ 10% และต่างประเทศ 90%
โดยตลาดภายในประเทศ ผลิตข้าวถุง ภายใต้ 3 แบรนด์ ได้แก่ ตราบัวชมพู, ตราชบา และตรากล้วยไม้ ทำตลาดขายผ่านตัวแทนตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป เช่น แม็คโคร, บิ๊กซี, กูร์เมต์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมไปถึงวางขายในห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น (Local Modern Trade : MT) พ่อค้าแม่ค้ายี่ปั๊วซาปั๊วในจังหวัดต่าง ๆ แต่ละแบรนด์จำแนกได้ประมาณ 30 SKU รวมกันประมาณ 200 SKU
เช่น ตราบัวชมพู แบ่งเป็นถุงสีทอง สีเขียว สีฟ้า สีม่วง สีชมพู สีเหลือง มีหลายขนาดตั้งแต่ 1 กก./ถุง, 5 กก./ถุง, 15 กก./ถุง, 40 กก./ถุง, 45 กก./ถุง และ 48 กก./ถุง โดยถุงขนาด 1-5 กก. ขายดีในห้างโมเดิร์นเทรด ส่วนยี่ปั๊วซาปั๊วนิยมใช้ถุงขนาด 15 กก.
ส่วนตลาดต่างประเทศเพิ่งทำมา 5-6 ปี โดยรับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์ของลูกค้า ในนามโรงสีธนสรรไรซ์ จ.ชัยนาท ซื้อขายผ่านเทรดเดอร์ มีตลาดครอบคลุมเกือบทั่วโลก ประมาณ 103 ประเทศ ตัวเลขการส่งออกช่วงปี 2564-2565 เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยแล้ว และยอดขายขยับขึ้นมาเรื่อย ๆ
ปีล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ในปี 2566 ตั้งเป้ารายได้ไว้ประมาณ 2,000-2,500 ล้านบาท แต่ต้องมีวัตถุดิบส่งขายสม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดเวลา และตัวที่จะชูคือข้าวหอมมะลิกับข้าวหอมใบเตย ที่ขายดีและเริ่มติดตลาดแล้ว
“เราขายตลาดในประเทศเพียง 10% ประมาณ 2-3 แสนตัน/ปี ขายดีสุดอยู่ในโซนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปจนถึงจังหวัดตาก กลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานเล็กน้อย ที่ส่งขายไปต่างประเทศจะมากถึง 90% ประมาณ 9 แสนกว่าตัน/ปี ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาส่งไปประเทศอิรักเป็นตลาดหลัก
ก่อนหน้านั้นเป็นแอฟริกา และส่งออกไปเป็นอันดับ 1 ในประเทศจีน เรียกได้ว่ากว่าจะขึ้นไปสู่อันดับ 2 ของตลาดต้องผลิตข้าวสารที่มีคุณภาพ ขยันวิ่งไปหาลูกค้า สร้างคนให้วิ่งไปเปิดตลาดหลาย ๆ ที่ อย่างประเทศไทยมีโรงสีอยู่ทุกพื้นที่ ตลาดค่อนข้างกว้าง ต้องทำนโยบายการขายแบบเชิงรุกไม่ผ่านโรงสีตัวกลาง สร้างแบรนด์ด้วยตัวเอง ให้ลูกค้าเห็นว่าเขาจะได้สินค้าคุณภาพและราคาไม่แพง สามารถไปทำกำไรต่อได้”
ชูคุณภาพลดต้นทุนสู้คู่แข่ง
สำหรับการรับซื้อข้าวจากเกษตรกร ล้อพูนผลฯรับซื้อประมาณ 1 แสนตัน/ปี แบ่งเป็นข้าวขาวประมาณ 60% ข้าวหอมมะลิ 20% ข้าวเหนียวประมาณ 10% ที่เหลือเป็นข้าวอื่น ๆ เช่น ข้าวหอมปทุม ข้าวหอมจัสมิน เป็นต้น โดยจะซื้อจากจังหวัดนครสวรรค์เป็นหลัก ตามด้วยจังหวัดอื่น ๆ โดยให้ราคาที่สูงกว่าตลาดประมาณ 200-500 บาท/ตัน จึงสามารถคัดสรรข้าวที่มีคุณภาพดีได้
ทั้งนี้ การซื้อข้าวเปลือกแบ่งเป็น 3 รูปแบบ 1.การซื้อตรงจากชาวนา โดยมีจุดรับซื้อที่ท่าข้าวนับพันจุดทั่วประเทศ ประมาณ 50% 2.ซื้อจากพ่อค้าคนกลางโดยประกาศราคารับซื้อ สัดส่วน 30% และ 3.รับซื้อจากโรงสีทั่วไป 20% หลังจากนั้นลดต้นทุนการผลิตด้วยการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศเยอรมนี มีระบบควบคุมอัตโนมัติ
สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างดี มีระบบคอมพิวเตอร์ตรวจจับไฟฟ้าประเมินต้นทุนได้ทุกส่วน สามารถเพิ่มศักยภาพแข่งขันกับคู่แข่งในประเทศและต่างประเทศได้
“เราซื้อผลผลิตข้าวจากเกษตรกรทุกจังหวัดตั้งแต่ภาคเหนือจดภาคใต้ ควบคุมคุณภาพข้าวทุกชนิด สามารถเลือกคัดสรรได้ว่าพื้นที่ไหนปลูกได้ดี ไม่ดี เช่น ข้าวขาวต้องมาจากอุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ นครศรีธรรมราช ข้าวหอมมะลิหรือข้าวเหนียวต้องซื้อจากเชียงราย เชียงใหม่ และพื้นที่ภาคอีสาน ข้าวแต่ละชนิดแบ่งไปตามคุณภาพ ทำให้มีสินค้าทุกระดับ”
อย่างข้าวหอมมะลิเกรด A จะแพ็กลงถุงที่นำเข้าจากต่างประเทศ เก็บรักษาด้วยการใช้ไนโตรเจนเพื่อให้ข้าวคงคุณภาพใหม่อยู่เสมอ คล้ายกันกับการเก็บสินค้าแปรรูป ข้าวเกรด B บรรจุเก็บในถุงปกติ แต่ยังคงเลือกคัดสรรผลผลิตจากพื้นที่คุณภาพตามที่ลูกค้าต้องการ
และสามารถตรวจสอบเอกลักษณ์พันธุกรรม (DNA) ข้าวได้ เพราะบางจังหวัดเป็นข้าวสายพันธุ์เดียวกัน แต่คุณภาพต่างกันตามการเก็บรักษา ส่วนข้าวเกรดล่างสุดเป็นข้าวที่มีเปอร์เซ็นต์การแตกหัก 25-30%
ด้านการขนส่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำหรับลดต้นทุน ล้อพูนผลฯใช้การส่งออกข้าวจากโรงสีโดยรถบรรทุก แล้วมาขนขึ้นเรือผ่านท่าเรือของบริษัทที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เพื่อล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาไปถึงท่าเรือแหลมฉบัง ขนถ่ายข้าวขึ้นเรือใหญ่ส่งต่อไปยังต่างประเทศ
แม้ใช้เวลาจาก จ.ปทุมธานี ไปถึงท่าเรือแหลมฉบังนานกว่า 8 ชั่วโมง แต่ราคาค่าขนส่งก็ถูกกว่าการใช้รถ เพราะปริมาณการขนส่งแต่ละครั้ง 1,000-3,000 ตัน ต้องใส่ในเบ้าลงเรือลากต่อกัน 3 พ่วง
แต่การใช้รถต้องใช้ 30 รถพ่วงต่อเรือ 1 ลำ หากในอนาคตมีระบบรางน่าจะดีกว่ารถกับเรือ แต่คงต้องมีฮับทุกจังหวัด เพราะการขนส่งต้องใช้รถขนตู้คอนเทนเนอร์ มีตัวยกขึ้นรถไฟ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีประโยชน์
แตกไลน์ธุรกิจบนที่ดิน 700 ไร่
“ถวิล” บอกว่า ตอนนี้ล้อพูนผลฯมีแผนแตกไลน์ธุรกิจเพิ่ม ตั้งใจทำธุรกิจโรงสีข้าวตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ สร้าง BCG Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2564 นำรำข้าวจากโรงสีข้าวไปสกัดเป็นน้ำมันรำข้าว และในปี 2565 ส่งออกน้ำมันรำข้าวดิบให้กับ 4 บริษัทแบรนด์ใหญ่ของญี่ปุ่น
โดยบริษัทถือเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรำข้าวดิบอันดับ 1 ของประเทศไทย ด้วยปริมาณการส่งออกประมาณ 6,000-7,000 ตัน เพื่อนำไปทำน้ำมันรีไฟน์ (refined oil) ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งญี่ปุ่นนิยมมาก เพราะหลายคุณสมบัติดีกว่าน้ำมันปาล์ม ดีต่อสุขภาพ ไม่ทำให้ไขมันพอกตับ
สำหรับปี 2566 ได้ยื่นเรื่องขอตั้ง “นิคมอุตสาหกรรมเกษตร” บนที่ดินของล้อพูนผล 700 กว่าไร่ อำเภอไพศาลี ซึ่งผังเมืองกำหนดเป็นเขตสีม่วง ตอนนี้อยู่ระหว่างทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อยู่ น่าจะทราบผลประมาณเดือนมกราคม 2567 ตามแผนหากผ่าน EIA เรียบร้อย จะแบ่งพื้นที่ 300 กว่าไร่ มาตั้งโรงงานน้ำมันรำข้าวเป็นอันดับแรก
ถัดมาคือโรงไฟฟ้า โดยเอาแกลบมาเผาไปเป็นไฟฟ้า แกลบที่เผาจะนำไปสกัดเป็นซิลิก้า สามารถนำไปเป็นสารทำคอสเมติก สารเคลือบแว่นกันแดด หรือส่วนประกอบยางรถยนต์ได้
นอกจากนี้ยังมีแผนแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพราะจังหวัดนครสวรรค์มีพื้นที่การเกษตรค่อนข้างมาก แต่ในจังหวัดนครสวรรค์ไม่มีนิคมอุตสาหกรรมเลย ฉะนั้นหากทำ EIA สำเร็จ พื้นที่นี้จะเป็นนิคมเกษตรแห่งแรกของประเทศไทย พื้นที่ที่เหลืออีก 300 กว่าไร่ จะแบ่งให้นักลงทุนรายอื่นมาเช่าและขาย
“ในการทำนิคมเราได้ประสานกับหน่วยงานราชการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ทั้งเรื่องสิทธิประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เกี่ยวกับการลงทุน หากเป็นต่างชาติเข้ามาลงทุนสามารถประกอบกิจการได้ 100%
ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น กระจายรายได้จากเมืองหลักสู่เมืองรองมากขึ้น ราคาค่าแรงไม่ได้สูงมากนัก คนในพื้นที่ก็มีรายได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเพิ่มระบบรางให้ผ่านทางนิคมจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับระดับโลกได้ เพราะนครสวรรค์เป็นเมืองใหญ่กลางประเทศ ถ้าขนส่งโดยรถบรรทุกราคาค่อนข้างแพง อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ได้ EIA 100% ก่อนถึงสามารถบอกรายละเอียดต่าง ๆ ได้”