“ซันสวีท” เผย Q1 รายได้พุ่ง 408 ล้าน ส่งข้าวโพดหวานปิ้งลุยตลาดเกาหลีใต้

“ซันสวีท” แรงไม่หยุด เผยไตรมาสแรก ปี’61 รายได้พุ่ง 408 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 13% หลังเดินสายนำผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานออกงานโรดโชว์สินค้าด้านอาหารในต่างประเทศในช่วงต้นปี ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กลางปีเตรียมส่งออกข้าวโพดหวานปิ้งลุยตลาดเกาหลีใต้

นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัท ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีรายได้อยู่ที่ 408 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.61% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทได้นำสินค้าหลักของบริษัท คือ ข้าวโพดหวาน เข้าร่วมนำเสนอในงานแสดงสินค้าด้านอาหารที่ต่างประเทศในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าและผู้ประกอบการด้านอาหารจากหลายประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้มีคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีออเดอร์เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา จะได้รับผลจากต้นทุนการขายที่เพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบของบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้กำไรลดลง

นายองอาจกล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตข้าวโพดหวานทั้งสิ้น 150,000 ตันต่อปี และในปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบประมาณลงทุนและพัตนาด้านเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ซึ่งหากติดตั้งเครื่องจักรและดำเนินการผลิตได้ภายในปีนี้ จะส่งผลให้กำลังการผลิตข้าวโพดหวานแช่แข็งเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ขณะเดียวกันจะพัตนาสินค้าพร้อมรับประทาน สำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสามารถรับประทานได้ทันที โดยจะเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายในด้านของรสชาติและความสะดวกสบายในการนำไปประกอบอาหาร เช่น ข้าวโพดหวานตัด (CORN CUT)

นอกจากนี้ บริษัทยังมีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายในเดือนมิถุนายน 2561 นี้ บริษัทเตรียมส่งออกข้าวโพดหวานปิ้งบรรจุถุงสุญญากาศวางจำหน่ายที่ประเทศเกาหลีใต้

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนสถาบันเข้ามาสอบถามข้อมูลของบริษัทมากขึ้นและมีบางกลุ่มสนใจลงทุนในบริษัท โดยปัจจุบันมีนักลงทุนสถาบันถือหุ้นในสัดส่วน 3.05% เพิ่มขึ้น จากช่วง IPO ที่สัดส่วนนักลงทุนสถาบันประมาณ 0.62% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของบริษัท และมีความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีจุดเด่นและมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง