
หอการค้าเชียงใหม่ เผยเศรษฐกิจ 6 เดือนแรกปี 2567 กำลังซื้อฝืดหนัก รถถูกยึดเต็มลานประมูล ชี้หากต้นทุนพลังงานขึ้น ค่าแรงเพิ่ม 400 บาท ยิ่งอ่วมหนัก ร้านอาหารปิดตัวอื้อ รอเงินดิจิทัลกระตุ้นครึ่งปีหลัง
นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต PM 2.5 ในช่วงต้นปีค่อนข้างหนักมาก ขณะที่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ค่อนข้างเงียบเหงา นักท่องเที่ยวคนไทยลดลง เนื่องจาก PM 2.5 เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวแล้ว แต่ละจังหวัดต่างจัดอีเวนต์งานสงกรานต์ ทำให้นักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนด้วย

นอกจากนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567ล่าช้ากว่า 5 เดือน ทำให้เม็ดเงินที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาครัฐและการบริโภคภาครัฐหดตัวลง ทำให้ไม่มีโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ส่งผลให้เศรษฐกิจค่อนข้างฝืดมาก
ขณะเดียวกัน หนี้สาธารณะพุ่งสูงต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อแผ่วลงมาก การจับจ่ายใช้สอยลดลง ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เมื่อไม่มีงบประมาณแผ่นดินลงในพื้นที่ ทำให้ไม่มีการจ้างงาน เงินในกระเป๋าของประชาชนลดลง
โดยเฉพาะกลุ่มคนระดับกลางถึงระดับล่างที่มีรายได้ลดลงมาก ส่วนหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นค่อนข้างน่าเป็นห่วง เห็นได้จากจำนวนรถที่ถูกยึดในเชียงใหม่ช่วง 6 เดือนแรก เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จนเกือบเต็มลานประมูลรถหลายแห่งในเชียงใหม่ และกระทบเต็นท์รถมือสองที่ต้องปิดกิจการลงหลายแห่ง ขณะที่ไฟแนนซ์ก็ตั้งการ์ดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น ทำให้ทุกอย่างชะลอตัวไปหมด
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2566-ช่วงครึ่งปีแรกปี 2567 มีธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่จดทะเบียนเปิดกิจการราว 2,000-3,000 กิจการ แต่มีธุรกิจที่จดทะเบียนเลิกกิจการมากถึง 1,000 กิจการ หรือราว 50% ของกิจการที่เปิดใหม่ ขณะนี้หอการค้ากำลังลงลึกในรายละเอียดของกิจการที่ปิดตัวลงว่าเป็นกิจการประเภทใด
ทางหอการค้ามองว่าปัจจัยหลักของการปิดกิจการ และค่อนข้างกระทบกับภาคธุรกิจ คือ ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจคาดว่าเพิ่มขึ้นราว 7-8% โดยเฉพาะต้นทุนหลัก เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน และน่ากังวลมากกว่านี้ หากรัฐบาลขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาท มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจของเชียงใหม่ในครึ่งปีหลังจะชะลอตัวมากกว่าครึ่งปีแรก และคาดว่าเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอี จะมีการปิดกิจการกันเพิ่มมากขึ้น เพราะธุรกิจขนาดเล็กใช้แรงงานค่อนข้างมาก
ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลัง จังหวัดเชียงใหม่ต้องพึ่งการท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงอยากให้ภาครัฐเน้นนโยบายเชิงรุกด้านการท่องเที่ยวมากกว่านี้ หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบาย Soft Power ต้องให้แต่ละจังหวัดดึง Soft Power ที่โดดเด่นออกมา พร้อมมุ่งโรดโชว์ต่างประเทศ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วงไฮซีซั่น โดยมุ่งการท่องเที่ยวแบบ Zero Carbon ที่เทรนด์ทั่วโลกให้ความสำคัญ
นายธนิต ชุมแสง นายกสมาคมร้านอาหารและสถานบันเทิงจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากโควิดมีการเปิดธุรกิจร้านอาหารและคาเฟ่เพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวจะดีขึ้น แต่เมื่อเผชิญวิกฤต PM 2.5 ช่วงต้นปี ส่งผลให้ผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและรายใหม่ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะรายใหม่ที่สายป่านไม่ยาว ได้ปิดกิจการไปจำนวนมากในช่วงครึ่งปีแรกนี้
ปัจจุบันมีร้านอาหารที่เป็นสมาชิก 500-600 ร้าน ล่าสุดปิดกิจการไปประมาณ 10% ส่วนใหญ่เป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ช่วงต้นปี 2567 ขณะที่กำลังซื้อลดลงตั้งแต่ช่วงวิกฤต PM 2.5 ประมาณ 2-3 เดือน หายไปราว 50%
สำหรับภาพรวมกำลังซื้อในขณะนี้ลดลง 20-30% จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างฝืด ปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น การปิดกิจการของภาคธุรกิจกระทบแรงงานตกงาน โดยเฉพาะต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นสูงมาก ได้แก่ ต้นทุนพลังงาน น้ำมัน ไฟฟ้า การเก็บภาษีซ้ำซ้อนของหน่วยงานภาครัฐ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องแบกรับภาระหนัก ปัจจุบันกำไรจากการทำธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่ราว 10% เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก บางร้านจากเดิมมี 30 โต๊ะลดเหลือ 10 โต๊ะ และต้องลดพนักงานลงทั้งนี้ หากรัฐบาลปรับค่าแรงเป็น 400 บาท คาดว่ากำไรของร้านอาหารจะไม่ถึง 10% และแนวโน้มร้านอาหารอาจต้องปิดกิจการลงมากกว่านี้ และจำเป็นต้องปลดพนักงานออก
ส่วนครึ่งปีหลังปี 2567 ผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่กำลังรอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ โดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท แม้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ผู้ประกอบการมองว่าขอให้ธุรกิจอยู่รอดไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้ได้