ส.ทุเรียนขอรัฐอุดหนุนห้องเย็น รับซื้อทุเรียนหนอนเจาะ-ขีดวงจังหวัดใต้

สมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน-มังคุด ชงรัฐบาลขีดวงการแพร่ระบาด “หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน” พร้อมจัดสรรงบประมาณให้ธุรกิจห้องเย็นเข้ารับซื้อทุเรียนที่มีหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนทั้งหมด ในราคาที่เป็นธรรม หลังพบระบาดไปหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคใต้ตอนล่าง ทำล้งรายใหญ่รับซื้อส่งออกหลายแห่ง ไม่กล้าเสี่ยง พร้อมประกาศไม่รับซื้อทุเรียน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เหตุทางการจีนเข้ม หากตรวจหนอน 1 ตัวตีกลับทั้งตู้ราคากว่า 3 ล้านบาท

นายภาณุวัชร์ ไหมแก้ว นายกสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงปัญหาหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานและแก้ไขยาก เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ที่ผ่านมาเมื่อทางสำนักงานศุลกากรกลางสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ตรวจพบและตีกลับ ก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคุณภาพทุเรียนไทยทันที ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องมองเป็น “ทุเรียนไทย” ทั้งหมด ไม่ใช่แบ่งแยกเป็นทุเรียนจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง

ส่วนการแก้ปัญหากรณีที่ล้งไม่ยอมรับซื้อทุเรียนยะลา เพราะเสี่ยงต่อการมีหนอนเจาะเมล็ดที่จะติดไปกับทุเรียนไทยที่ส่งไปตลาดต่างประเทศนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณให้ “ธุรกิจห้องเย็น” ในการรับซื้อทุเรียนในพื้นที่ที่มีปัญหาหนอนเจาะเมล็ดทั้งหมด

โดยขีดวงระบุเป็นรายจังหวัดให้ชัดเจนในทุกภาคที่พบปัญหาหนอนเจาะเมล็ดจำนวนมาก เพื่อช่วยเหลือทั้งเกษตรกรเจ้าของสวนและไม่ให้มีปัญหาในการส่งออก โดยราคารับซื้อจะต้องเป็นธรรมและไม่แตกต่างกับทุเรียนปกติมากเกินไป ยกตัวอย่าง กรณีที่ล้งรับซื้อทุเรียนเกรด AB ราคา 150-155 บาท ถ้าราคาห้องเย็นรับซื้อทุเรียนที่เป็นรูหรือมีหนอนก็ต้องมีราคาไม่ต่ำกว่า 60-70 บาทต่อ กก.

“ราคาที่รับซื้อเข้าห้องเย็นต้องเป็นราคาที่เกษตรกรและผู้ประกอบการยอมรับได้ ผู้ประกอบการเองจะอยู่รอด อย่างไรก็ตาม ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจห้องเย็นแทบไม่มีทุเรียนป้อนในการทำทุเรียนแช่แข็ง เพราะราคาทุเรียนผลสดสูงมาก” นายภาณุวัชร์กล่าว

ด้านนายสุชาติ คงรอด อุปนายกสมาคมทุเรียนใต้ กล่าวว่า ช่วงนี้ทุเรียนทางจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานีใกล้หมดแล้ว ในช่วงเดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงที่ผลผลิตทุเรียน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออก ทั้งยะลา-นราธิวาส-ปัตตานี ผลผลิตจะออกมากหลังวันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งกำหนดเป็นวันตัด ยาวไปถึงกลางเดือนสิงหาคม

ADVERTISMENT

ด้วยความที่ไม่ชัดเจนว่าทุเรียนหนอนเจาะเมล็ดที่มีการตรวจพบจากจังหวัดใด และมีความเข้าใจว่า เป็นทุเรียนยะลา ทำให้ราคาทุเรียนยะลาแม้ว่าจะเป็นเกรด AB ราคาก็จะต่ำกว่าทุเรียนชุมพร-สุราษฎร์ธานีมากกว่า กก.ละ 20 บาท และบางล้งไม่รับซื้อ ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกปี โดยทางสมาคมทุเรียนใต้เห็นด้วยที่จะขายทุเรียนตกไซซ์ให้โรงงานแช่แข็ง เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น

สำหรับสถานการณ์การตัดทุเรียนผลสดในจังหวัดยะลานั้น มีรายงานข่าวเข้ามาว่า หลายล้งได้หยุดรับซื้อทุเรียนยะลา จากการทดลองเปิดรับซื้อทุเรียนในพื้นที่ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดยคัดเลือกทุเรียนที่มีหนามเขียวสมบูรณ์ ซึ่งเชื่อว่าจะมีการใส่ปุ๋ยพ่นยาครบถ้วน แต่เมื่อนำผลทุเรียนที่รับซื้อมาสุ่มเจาะ 17 ลูก กลับพบว่า มีหนอนเจาะเมล็ดอยู่ถึง 9 ลูก นั่นแสดงให้เห็นว่า หนอนเจาะเมล็ดทุเรียนมองจากภายนอกไม่เห็น

ADVERTISMENT

ดังนั้นจึงต้องเลิกล้มการส่งออกทุเรียนผลสดจากยะลาออกไปก่อน เพราะที่มีการสุ่มตรวจและพบหนอนเจาะเมล็ดในสัดส่วนที่สูงมาก ขณะนี้ถือเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก ถ้าปลายทางตรวจพบหนอนเจาะทุเรียน

“ตอนนี้ทั้งทางการจีนและหน่วยราชการไทยตรวจเข้ม โดยด่านตรวจฝั่งไทยแจ้งว่า หากกรณีพบหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน 1 ครั้ง จะแจ้งเตือนก่อน พบครั้งที่ 2 จะออกหนังสือเตือนในระยะ 15 วันหลังจากตรวจครั้งแรก ถ้ามาตรวจล้งอีกครั้ง หากพบอีกก็จะถูกระงับการส่งออก แต่มาตรการฝั่งจีนจะเข้มงวดมากกว่า ถ้าตรวจพบหนอน 1 ตัวทั้งตู้จะถูกรมยาตีกลับมาไทยทันที แต่หากตรวจพบหนอน 3 ตัวจะถูกระงับใบอนุญาต DOA ให้หยุดส่งออกชั่วคราว ซึ่งถือเป็นมาตรการที่รุนแรงมาก

ส่วนการซื้อขายทุเรียนในพื้นที่จะเปิดรับซื้อ ทุเรียนยะลา ทุกเบอร์ตามสภาพราคาและตลาดเข้าโรงงาน เพื่อนำไปแกะเนื้อเข้าห้องเย็น โดยแยกเบอร์ราคาหมอนทอง ยกตัวอย่าง วันที่ 23 ก.ค. 67 ราคาตลาดทุเรียนเกรด AB ราคา 100 บาท ทุเรียนเป็นรูมีหนอนเจาะ 40-55 บาท/กก. เมื่อบ่มสุกจะแยกขายเป็นเนื้อห้องเย็น 4-5 เบอร์” แหล่งข่าวกล่าว

ขณะที่แผงทุเรียนใน จ.ชุมพร ซึ่งทำทุเรียนส่งออกไปจีน กล่าวว่า ทางแผงประกาศชัดเจนจะรับซื้อทุเรียนจำกัดเฉพาะในพื้นที่ จ.ชุมพร, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานีเท่านั้น “ไม่รับทุเรียนต่างพื้นที่” และซื้อเฉพาะเกรด AB เพราะมีความเสี่ยงสูงเรื่องหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน หากด่านตรวจพืชพบและถูกตีกลับ ทางบริษัทจะถูกระงับไม่สามารถส่งออกได้ชั่วคราว และต้องรับผิดชอบความเสียหายเองทั้งหมด ซึ่งราคาทุเรียนส่งออกตู้ละประมาณ 3 ล้านบาท

หากทุเรียนที่ถูกตีกลับมาต้องขายให้ห้องเย็นไปแกะเพียงอย่างเดียวในราคาต่ำ และทุเรียนอาจจะเน่าก่อนเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ไม่สามารถขายให้ห้องเย็นได้ ทั้งนี้ปัญหาหนอนเจาะทุเรียนไม่ได้มีเฉพาะทุเรียนโซนภาคใต้ตอนล่างเท่านั้น แต่พบในหลายพื้นที่ภาคใต้ตอนบนและภูมิภาคอื่น ๆ

ส่วนมาตรการคัดกรอง 4 ชั้นตอนของกรมวิชาการเกษตร ก่อนส่งออกทุเรียน เป็นการเพิ่มต้นทุนค่าใช้จ่าย เมื่อล้งซื้อทุเรียนเข้ามาแล้ว ต้องชุบน้ำยาและตั้งทุเรียนทิ้งไว้ 48-72 ชม. แล้วจึงแพ็กใส่กล่อง ต้องคัดแยกลูกทุเรียนอย่างละเอียดอีกครั้ง หากพบหนอนต้องเอาออก และก่อนปิดตู้ เจ้าหน้าที่มีการสุ่มตรวจ 3%

และถ้าพบหนอน 3-5 ลูก จะเพิ่มการสุ่มตรวจเป็น 5% จะต้องรื้อกล่องตรวจสอบเพิ่ม 50-100 กล่อง จนแน่ใจว่าจะเสี่ยงน้อย และเมื่อไปถึงด่านเจ้าหน้าที่จะเปิดสุ่มตรวจซ้ำอีกครั้ง ถ้ามีหนอนเดินอยู่ท้ายตู้มากกว่า 5 ตัว ตู้นั้นจะถูกตีกลับมาที่แผง

ทั้งหมด คือความเสี่ยงของล้งและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการตั้งทุเรียนทิ้งไว้ให้หนอนออก 2-3 คืน น้ำหนักทุเรียนจะหายไป 50-60 กก.ต่อตัน ไม่รวมทุเรียนหนอนที่ต้องคัดออกอีก ค่าใช้จ่ายที่ได้จากรายได้ไม่เกิน กก.ละ 25-30 บาท ล้งต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด