
ศักยภาพของชาวนาไทยวันนี้่ ไม่แพ้ชาติใดในโลก ดังตัวอย่าง “วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านห้วยไห” ต.บ้านค้อ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม ภายหลังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน ได้มุ่งเน้นพัฒนา ล่าสุดกระทรวงพลังงาน ร่วมกับพลังงานจังหวัดนครพนม พาสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชม
รวมกลุ่มแปรรูปเพิ่มมูลค่า
นางนิ่มอนงค์ แก้วไพศาล ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านห้วยไห ตำบลบ้านค้อ อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม บอกเล่าความเป็นมาว่าได้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านห้วยไห” ขึ้น เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558 เริ่มแรกมีสมาชิก 12 คน หาวิธีเพิ่มรายได้เพิ่มด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวฮางงอก และข้าวฮางงอกบด
ต่อมาได้ขยายโดยตั้งเป็นกลุ่มแปลงใหญ่ขึ้น ในปี 2561 ภายใต้ชื่อ “นาแปลงใหญ่บ้านห้วยไห” ต.บ้านค้อ มีสมาชิก 53 คน ปลูกข้าวอินทรีย์ทั้งหมด 939 ไร่ และได้พัฒนาสู่การจัดตั้ง “บริษัท เพชรไพศาลค่ำคูณ จำกัด” เพื่อรองรับและซื้อข้าวอินทรีย์จากสมาชิกกลุ่ม เพื่อมาแปรรูป โดยจะให้ราคาสูงกว่าราคาตลาดทั่วไป เช่น ข้าวหอมมะลิ ราคาต่างกัน 1 บาทต่อ กก., ข้าวอื่น ๆ ทั่วไป ต่างกัน 3-4 บาทต่อ กก., ข้าวเมล็ดสี รับซื้อ 18 บาทต่อ กก.
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มมีการ “ประกันราคา” ให้ผู้ปลูกข้าวส่งให้ทางกลุ่มด้วย โดยเกรด A ราคา 18 บาทต่อ กก. เกรด B ราคา 17 บาทต่อ กก. และเกรด C ราคา 16 บาทต่อ กก. ส่งผลให้ทุกคนมีรายได้จากการทำนาเพิ่มขึ้น เพราะมีประกันราคาตายตัว ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากราคาข้าวที่ขึ้น-ลง ซึ่งถ้าราคาข้าวปรับสูงขึ้น ทางกลุ่มจะปรับราคาขึ้น
นอกจากนี้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ เช่น สับปะรดแช่อิ่มอบแห้ง กล้วยตาก เป็นต้น
ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ในทุกอำเภอของ จ.นครพนม และ จ.สกลนคร ทั้ง อ.กุสุมาลย์ อ.โพนนาแก้ว และ อ.โคกศรีสุพรรณ
“เพชรไพศาล” รุกตลาดโลก
สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าทำทั้งตลาดภายในและตลาดส่งออก ทั้งนี้ ทางกลุ่มจะรวบรวมสินค้าส่งให้กับผู้ประกอบการส่งออกในหลายประเทศ ได้แก่ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฮ่องกง จีน โดยผลิตภัณฑ์ที่ส่งออก เช่น จมูกข้าว ราคา 150,000 บาทต่อตัน ปริมาณส่งออก 48 ตันต่อปี, ข้าวสารขาว ราคา 500,000 บาทต่อตัน ปริมาณส่งออก 300 ตันต่อปี, ข้าวเปลือก ราคา 20,000 บาทต่อตัน ปริมาณส่งออก 250 ตันต่อปี, ข้าวเมล็ดสี ราคา 25,000 บาทต่อตัน ปริมาณส่งออก 12 ตันต่อปี นอกจากนี้ มีการรับซื้อข้าวจากนาที่ไม่ใช่ออร์แกนิกด้วย โดยจะส่งขายให้กับผู้ประกอบการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย ประมาณ 1,500 ตันต่อปี
ปัจจุบันได้ยื่นจดทะเบียนการค้า ภายใต้แบรนด์ “เพชรไพศาล” ทั้งผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ โฆษณาไว้ที่ประเทศจีน และเตรียมส่งออก กล้วยอบพลังงาน กล้วยเคลือบช็อกโกแลตไปประเทศเมียนมา และเตรียมส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปอื่น ๆ ประเทศ
ส่วนตลาดภายในประเทศ จะวางขายข้าวฮางงอก และผลิตภัณฑ์จมูกข้าว ภายใต้แบรนด์ “เพชรไพศาล” ให้ผู้บริโภคทั่วไป และร้านขายข้าวสารออร์แกนิก รวมถึงร้านอาหารต่าง ๆ ในราคาไม่ต่ำกว่า 70,000 บาทต่อตัน ทั้งนี้ ในปี 2566 มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 30%
ชูสินค้า “ไร้น้ำตาล” ป้อนโรงพยาบาล
นางนิ่มอนงค์บอกต่อไปว่า ปัจจุบันเทรนด์สินค้าสุขภาพกำลังมาแรง ดังนั้น ทางกลุ่มมุ่งเน้นการผลิตสินค้าออร์แกนิก 100% โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดได้รับการตรวจสอบ และรับรองมาตรฐานจาก “บริษัท ไบโออะกริเสิร์ช (ไทยแลนด์) จำกัด” เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกันได้รับการวิเคราะห์ผลจาก “สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย” (วว.) ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำตาล เพื่อเป็นสินค้าที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยความดันสูง ผู้ที่ครรภ์เป็นพิษ หรือผู้ป่วยทานอาหารทางสายยาง
นอกจากนี้ มีการผลิตสินค้าส่งให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นวิจัย เพื่อเป็นอาหารให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาล มีผลิตภัณฑ์จากผักเคล ที่ได้รับการวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกด้วย
ขณะเดียวกันมีแผนนำ “ข้าวเหนียวเมล็ดท่อน” ไปแปรรูปทำโคจิ หมักเนื้อนุ่ม หมูนุ่ม โดยมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอทุนให้หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จำนวน 2,000,000 บาท ไปช่วยทำวิจัย ตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
ปัจจุบันสินค้าได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จำนวน 23 รายการ และล่าสุดผลิตภัณฑ์จมูกข้าว ชนิดผง 3 ชนิด ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด (Quality Award) เป็นหนึ่งเดียวในจังหวัดนครพนมที่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้โรงงานได้รับการรับรอง GMP Family, GHP HACCP, ISO 20200 : 2018 แปลงปลูกได้รับเครื่องหมายรับรอง “Organic Thailand” จากกรมการข้าว
ส่วนการรับรองในระดับสากล เช่น NOP-USDA (แนวทางการรับรองเกษตรอินทรีย์ในระบบสากล)
หนุนใช้โซลาร์เซลล์อบแห้ง
เดิมการแปรรูปข้าวออร์แกนิกมีหลายรูปแบบ โดยทางกลุ่มทำเป็นระบบเปิด ใช้เทคนิคการอบ ต้ม นึ่ง ทำให้สินค้ามีปัญหาในช่วงฤดูฝนค่อนข้างมาก สินค้าไม่ได้คุณภาพ ไม่สามารถส่งมอบได้ตามความต้องการของลูกค้า จนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านพลังงาน ได้รับงบประมาณจาก “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” ปี 2565 จำนวน 739,658 บาท ติดตั้งระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 8×20.80 เมตร
จนมาสู่การใช้ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจก (Greenhouse Solar Dryer) หรือ “พาราโบลาโดม” และใช้เตาชีวมวล เพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวที่มีการตากแห้ง ซึ่งการตากในรูปแบบเดิมมีพื้นที่ไม่เพียงพอ และผลิตสินค้าไม่ทันกับความต้องการของตลาด
ตั้งแต่นำเทคโนโลยีมาใช้ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ทำให้คุณภาพสินค้าดีขึ้น ไม่อับชื้น ไม่มีมด-แมลง ไม่มีเชื้อรา สินค้ามีกลิ่นหอม คุณภาพสินค้าคงที่ แล้วยังผลิตสินค้าได้มากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์
“เราเป็นผู้ผลิตที่ใส่ใจในรายละเอียด และรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดูแลไม่ให้เกิดมลพิษ นำส่วนที่เหลือกลับมาใช้ใหม่ ไม่มีสิ่งเหลือใช้” นางนิ่มอนงค์กล่าว