กรมป่าไม้ แจ้งความมูลนิธิฯ หลังพบบุกรุกป่า “เขานาคเกิด” 5 ไร่ สั่งห้ามทำนอกเขต 15 ไร่

กรมป่าไม้ แจ้งความมูลนิธิฯ หลังพบบุกรุกป่า “เขานาคเกิด” 5 ไร่ สั่งห้ามทำนอกเขต 15 ไร่

กรมป่าไม้ตรวจสอบสภาพป่าเขานาคเกิด พบบุกรุกเพิ่ม 5 ไร่ เข้าแจ้งความดำเนินคดี กับ ประธานมูลนิธิพระพุทธมิ่งมงคลศรัทธา สั่งห้ามดำเนินการนอกเขต 15 ไร่ เกรงดินสไลด์ซ้ำ หากพบความผิดสิ่งก่อสร้างที่ตรวจยึด 6 รายการ สมบูรณ์แบบ “ต้องรื้อถอน กลับคืนสภาพป่า” เผยสร้างไม่ถูกหลักวิศวกรรมการก่อสร้างพื้นที่สูง

วันที่ 28 สิงหาคม 2567 จากเหตุการณ์ดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนบริเวณท้ายซอยปฏัก 2 หลังวัดกะตะ หมู่ที่ 2 ตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. วันที่ 23 สิงหาคม 2567 มีผู้เสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บ 19 ราย ครัวเรือนได้รับผลกระทบจำนวน 209 ครัวเรือน รวม 3 ตำบล 9 หมู่บ้าน

หลังเกิดเหตุ นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งศูนย์อำนวยการร่วมศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมและศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย ณ วัดกะตะ พร้อมรับบัญชาจากนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ทำการตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้างบนภูเขาที่อาจเป็นสาเหตุการเกิดดินสไลด์ และให้ดูแลประชาชนที่ประสบภัยตามสิทธิที่ได้รับ

โดยจังหวัดภูเก็ตได้ประสานไปยังกรมทรัพยากรธรณี และกรมป่าไม้ ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบการก่อสร้างบนภูเขาที่เป็นที่ตั้งขององค์พระใหญ่ ป่าเทือกเขานาคเกิด ตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต โดยบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสภาพป่าเทือกเขานาคเกิด องค์พระใหญ่ ของวัดกิตติสังฆารามหรือวัดกะตะ เนื้อที่ 15 ไร่ เมื่อ 27 ส.ค. 67

ตรวจพบบุกรุกป่า 5 ไร่

ผลการตรวจสอบพบว่ามีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเกินจากที่ขอไว้และบุกรุกป่าอีก 5 ไร่ 19 ตารางวา หลักฐานการก่อสร้าง 6 รายการ ถือว่าเป็นการกระทำความผิด จึงเข้าแจ้งความดำเนินคดี กับประธานมูลนิธิพระพุทธมิ่งมงคลศรัทธา ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ โดยพบว่ามีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเกินจากที่ขอไว้ โดยแจ้งความที่ สภ.กะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

ADVERTISMENT

นายบรรณรักษ์ เสริมทอง รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ ให้ลงมาตรวจสอบพื้นที่ในกรณีที่มีดินสไลด์ ลงไปทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาวจังหวัดภูเก็ต บริเวณเทือกเขานาคเกิด กรมป่าไม้ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว และ สนธิกำลังจากหลายหน่วยงานเข้าตรวจสอบ

สำนักพุทธฯยื่นขออนุญาตใช้ที่ป่า

จากการตรวจสอบพบว่าอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรโดยมีการขออนุญาตตั้งแต่ปี 2545 ที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ ร่วมกับ กรมป่าไม้ ดูแลโครงการต้นไม้ ป่าไม้ จนถึงปี 2549 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พระสงฆ์มาดูแลป่า เพื่อให้เป็นแหล่งรวมจิตใจของชาวพุทธ ให้รักษาป่าให้ดีขึ้น และมีการขออนุญาตทุกระยะครั้งละ 5 ปี ช่วงแรกมีพื้นที่ป่าในโครงการ 42 ไร่

ADVERTISMENT

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ามีที่พื้นที่ป่าเหลือ 38 ไร่ และต่ออายุโครงการ มาช่วยพัฒนาด้านป่าไม้ รวม 3 ครั้ง เป็นเวลานานรวมประมาณ 20 ปี โดยไม่ใช่เป็นการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ดำเนินการอื่น ๆ และการก่อสร้าง ซึ่งมีกฎหมายต่าง ๆ มากมายที่จะต้องมีการอนุญาตก่อนถึงจะก่อสร้างได้ กรมป่าไม้ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าดำเนินการมาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร

ในกรณีนี้ดำเนินการร่วมกับวัดกิตติสังฆารามหรือวัดกะตะ สำหรับในปี 2564 นั้นที่มีการต่ออายุโครงการครั้งสุดท้าย กรมป่าไม้พิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการดังกล่าวดำเนินการยาวนานต่อเนื่องมาแล้วและอาจจะไม่เหมาะสมอาจจะต้องขอให้ผู้เกี่ยวข้องขออนุญาตใช้ ประโยชน์ พื้นที่ป่าไม้ ในป่าสงวนแห่งชาติให้ถูกวิธี

และในครั้งนั้นมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เป็นการผ่อนผันให้หน่วยงานราชการหรือหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ก่อสร้างในเขตป่า ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้มายื่นคำขอให้ถูกต้องตามสิทธิ

จนถึงขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุญาตของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่มีการเสนอผลการศึกษาต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ด้วยและกรมป่าไม้ยังไม่อนุญาตให้ใช้ทำประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ป่าไม้สั่งหยุดสร้างนอกเขต 15 ไร่

ทางกรมป่าไม้ มีหนังสือสั่งการให้เจ้าอาวาสและวัดกิตติสังฆาราม หรือวัดกะตะ มูลนิธิ ฯให้หยุดการดำเนินการใด ๆ แล้ว รวมทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดภูเก็ต ได้แจ้งเช่นเดียวกัน และในครั้งนี้ จะให้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ ทำ ป้าย ประกาศว่า ห้ามดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น ในพื้นที่นอกเขต 15 ไร่ ที่กำลังขออนุญาต

เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ แจ้งความที่ สภ.กะรนแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต้องไปสอบสวนถึงสาเหตุ ข้อเท็จจริง และเชิญผู้มีองค์ความรู้ต่าง ๆ มา พิสูจน์กันว่า สาเหตุหลักเกิดจากอะไร เป็นจากการปรับเกรด เพื่อทำลานจอดรถหรือไม่ เรื่องนี้ทางกระบวนการยุติธรรมจะต้องมีการพิสูจน์

แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ สันนิษฐานจากภาพที่เห็น รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ทหารเรือ นำเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจพื้นที่โดยรอบองค์พระใหญ่ป่าสงวนแห่งชาติเขานาคเกิด และส่งภาพให้ดู เมื่อเห็นแล้วก็น่าจะเป็นเหตุการณ์คาดคะเนอย่างนี้เกิดขึ้น ทุกอย่างจะต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์

“ทางผู้เกี่ยวข้องกับองค์พระใหญ่ ไม่ควรดำเนินการ ก่อนได้รับการอนุญาต เพราะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กำลังขออนุญาต ใช้พื้นที่ป่าไม้เพียง 15 ไร่ และกรมป่าไม้แจ้งให้หยุด การดำเนินการ ทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 แต่กลับมีการดำเนินการต่อ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุทำให้ เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”

ขณะนี้ที่บริเวณองค์พระใหญ่ยังคงมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมา ซึ่งได้มีการหารือกันแล้วในเบื้องต้น กับนายสมชาย ผู้อำนวยการสำนัก สำหรับพื้นที่ 15 ไร่ ที่อยู่ระหว่างการขออนุญาตใช้พื้นที่นั้น มีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นมาแล้ว สามารถดูแลและทำประโยชน์ในพื้นที่ตรงนั้นได้

แต่ถ้านอกเหนือจากพื้นที่ 15 ไร่นี้ กรมป่าไม้ไม่สามารถอนุญาตให้ดำเนินการได้ จะต้องทำหนังสือแจ้ง ทางวัด ทางมูลนิธิฯ และคนทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้หยุดกิจกรรมดังกล่าวในพื้นที่

ส่วนปัญหาการก่อสร้างที่ตรวจยึด จำนวน 6 รายการนั้น ทางพนักงานสอบสวน สภ.กะรน จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ถ้าการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ ว่ามีความผิดถูกต้องสมบูรณ์แบบ และคดีถึงที่สุดแล้ว ตามกฎหมาย ในเขตป่าสงวนแห่งชาติมาตรา 25 ของกรมป่าไม้ มีการบังคับทางปกครอง เรื่องการรื้อถอน ในอนาคต โดยผู้ที่ก่อสร้างจะต้องเป็นผู้รื้อถอนเองก่อน ถ้าไม่รื้อถอนทางกรมป่าไม้เป็นผู้รื้อถอน จะต้องเรียกเก็บเงินจากท่าน เมื่อถึงจุดนั้นกรมป่าไม้จะต้องเข้าสู่จุดการฟื้นฟูให้เป็นสภาพของธรรมชาติต่อไป

ส่วนประชาชนที่ได้รับผลกระทบอยู่ที่พื้นล่างของเขานาคเกิดในช่วงระยะเวลา 3 เดือนนี้ยังคงมีฝนตกหนักและอาจจะก่อให้เกิดดินโคลนถล่มขึ้นมาอีกได้นั้น ทางกรมป่าไม้ยืนยันว่าจะต้องให้องค์พระใหญ่ยุติการดำเนินการกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่นอก 15 ไร่ จะแจ้งประชาสัมพันธ์ ป้องกันไม่ให้มีการใช้พื้นที่ที่ทำการตรวจยึด

สร้างไม่ถูกหลักวิศวกรรมก่อสร้างพื้นที่สูง

ทางด้าน พ.อ.ดุสิต เกษรแก้ว หัวหน้าชุดตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบพื้นที่เขานาคเกิด ตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ว่าสภาพพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นเขาหินแปร ปกคลุมด้วยชั้นดิน บริเวณที่มีการก่อสร้างบนยอดเขาอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางที่ 375 เมตร

จากการเปรียบเทียบภาพถ่ายทางอากาศพบว่าบริเวณดังกล่าวเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2548 มีการปรับพื้นที่เป็นที่ตั้งของพระใหญ่รวมถึงปรับพื้นที่เป็นลานกว้าง แต่ไม่พบหลักการกันน้ำ ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมการก่อสร้างพื้นที่สูง โดยตามธรรมชาติและบริเวณสันเขาหรือภูเขาสูงจะมีการปั้นน้ำตามธรรมชาติ

โดยเขานาคเกิด ที่ด้านหลังองค์พระพบร่องน้ำธรรมชาติจำนวน 2 ร่อง แต่เมื่อมีการก่อสร้างและปรับพื้นที่ได้มีการปิดกั้นทางน้ำทางธรรมชาติ เมื่อเกิดฝนตกหนักและมีน้ำต้องระบายลงจากภูเขา ทำให้มวลน้ำต้องการช่องทางเดิน ซึ่งจุดที่เกิดดินสไลด์และพังลงมาเป็นทางเดินน้ำที่ธรรมชาติต้องการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทน ซึ่งหน้าผาที่เกิดดินสไลด์มีความลาดชันประมาณ 80 องศา ต้นไม้ปกคลุมเพียงชั้นผิวดินเท่านั้น การตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมที่นำมาวิเคราะห์พบว่ามีความเคลื่อนไหวชั้นดินและฐานหินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567

ทางด้าน พลตรี อนุสรณ์ โออุไร รองแม่ทัพภาคที่ 4 /รอง ผอ.รมน.ภาค 4 กล่าวว่า การตรวจสอบ สาเหตุเบื้องต้นของชุดตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 แน่ชัดแล้วว่า สาเหตุมาจากการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ และการก่อสร้างบนพื้นที่ลาดชันสูง ซึ่งเป็นปัญหาที่กองทัพภาคที่ 4 กำลังดำเนินการพยายามแก้ไขอยู่ในหลายพื้นที่

โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเกาะสมุย ภายใต้การตรวจสอบ สมุยโมเดล เพื่อนำไปปรับใช้กับแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอื่นในพื้นที่ภาค 4 แต่มาเกิดเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่ง กอ.รมน. ภาค 4 จะได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมหารือเพื่อหาแนวทางตรวจสอบในพื้นที่เสี่ยงจุดอื่น ๆ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซ้อน ส่วนความผิดทางกฎหมายนั้นให้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการที่จะหาตัวผู้กระทำความผิดมารับผิดชอบทางกฎหมาย”