“เดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม” ทุ่ม 580 ล้านบาท ปั้นโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์หรู บนถนนสายเชียงใหม่-แม่ริม ลุยเปิดเฟสแรกดึงอินเตอร์แบรนด์เขย่าตลาดเชียงใหม่ ทั้งสุกี้ตี๋น้อย สตาร์บัคส์ และเคเอฟซี มิกซ์ร้านค้าโลคอลในเชียงใหม่ ริมปิงซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารจีนเจี่ยท้งเฮง บ้านลันได ชาบูกุ สุกี้ช้างเผือก กุ้งยิ้มซีฟู้ดส์ ฯลฯ ดีไซน์ทุกร้านค้าเป็นแฟลกชิปสโตร์ เจาะทุกกลุ่มกำลังซื้อทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว พร้อมเปิดเฟส 2 ครบเต็มระบบปลายปี’67
นางสาวสาริศา เมฆอุไร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บ้านสุขภิรมย์ จำกัด ผู้บริหารโครงการเดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้บริษัทได้ลงทุนขยายสาขาโครงการเดอะ กาดฝรั่ง เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี ที่ “เดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม” (The Kad Farang Mae Rim) มูลค่าการลงทุน 580 ล้านบาท ถือเป็นโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์หรู บนที่ดินทั้งหมด 18 ไร่ ทำเลศักยภาพด้านหน้าโครงการ “ศุภาลัย ทัสคานี วัลเล่ย์” อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลังบุกเบิก “กาดฝรั่ง วิลเลจ หางดง” โครงการแรกจนประสบความสำเร็จ
ล่าสุดได้เปิดให้บริการเฟสที่ 1 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2567 โดยดึงอินเตอร์แบรนด์ 3 แบรนด์ นำร่องเปิดให้บริการก่อนคือ สุกี้ตี๋น้อย สตาร์บัคส์ และเคเอฟซี วางตำแหน่งอยู่ในโซนด้านหน้าโครงการ ถือเป็นร้านหลักของโครงการที่เป็นอีกหนึ่ง Magnet ส่วนเฟสที่ 2 คาดว่าจะเปิดให้บริการราวปลายปี 2567 นี้
สำหรับอัตราการจอง Occupancy ของร้านค้าและธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนเปิดบริการในเดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม ขณะนี้มียอดจองถึง 90% แล้ว โดยทางโครงการให้ความสำคัญในเรื่องการคัดสรรร้านค้าและบริการที่มีคุณภาพเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด คือเป็นร้านค้าอินเตอร์แบรนด์จากส่วนกลาง 60% ร้านค้าในท้องถิ่นเชียงใหม่ 40% วางจุดขายให้แต่ละร้านเป็นแฟลกชิปสโตร์ (Flagship Store) การดีไซน์ที่เน้นสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความโดดเด่นและแตกต่าง
ทั้งการออกแบบและตกแต่ง อาทิ พิซซ่าฮัท ดีไซน์ใหม่ใน Southeast Asia ขณะที่สตาร์บัคส์ เน้นการดีไซน์แบบล้านนา หรือร้านอาหารเวียดนาม “Ngon” เป็นอินเตอร์แบรนด์จากกรุงเทพฯ มี 50 สาขาที่โฮจิมินห์ เวียดนาม จะมาลงทุนเปิดบริการด้วย
ขณะที่ร้านค้าโลคอลในจังหวัดเชียงใหม่สัดส่วน 40% จะมาเปิดบริการภายในโครงการ ได้แก่ ริมปิงซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารจีนเจี่ยท้งเฮง บ้านลันได (ร้านอาหารไทย) ชาบูกุ สุกี้ช้างเผือก กุ้งยิ้มซีฟู้ดส์ เซขุ (Sequ) ร้านอาหารอิตาเลียน ฯลฯ ซึ่งทุกร้านจะมีความเป็น Flagship Store ที่โดดเด่นของแบรนด์ด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งร้านค้าอินเตอร์แบรนด์จากส่วนกลางและร้านค้าท้องถิ่นเชียงใหม่ รวมทั้งหมดราว 100 ร้านค้า เป็นการเช่าระยะยาว 9-15 ปี และร้านค้าขนาดใหญ่ระยะเวลาเช่า 30 ปี
นางสาวสาริศากล่าวต่อไปว่า ด้วยศักยภาพของโซนอำเภอแม่ริมที่มีความโดดเด่นหลายด้าน มีหมู่บ้านจัดสรร เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีศูนย์ราชการ มีโรงเรียนนานาชาติ ถือเป็นสังคมคุณภาพและมีกำลังซื้อสูง ที่สำคัญคือเป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งเส้นทางโป่งแยงในเขตอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง และอำเภอเชียงดาว โดยโครงการเดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย กลุ่มคนท้องถิ่น 40% นักท่องเที่ยว 40% และอีก 20% เป็นกลุ่มคนทำงาน-ศูนย์ราชการ รวมถึงโรงเรียนนานาชาติ
ขณะที่โครงการตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการศุภาลัย มีบ้านมากกว่า 1,000 หลังคาเรือน จะตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าในโครงการบ้านศุภาลัยได้ ถือเป็นการเสริมศักยภาพและความแกร่งทางธุรกิจของกันและกันได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ภายในโครงการมีฟู้ดเซ็นเตอร์ โดยดึงร้านอาหารคุณภาพในเชียงใหม่มาให้บริการในราคาหลักสิบ เพราะมองว่าคนมาเที่ยวในเส้นทางแม่ริมมีหลายกลุ่ม จึงต้องเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลาย ไม่ได้เป็นร้านค้าที่ Premium ทั้งหมด หรือเป็น Niche Market ทั้งหมด ซึ่งหากวางกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะมากเกินไปจะทำให้ลูกค้าทั่วไปเข้าถึงยากและทำตลาดยาก แต่การเปิดรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายครบทุกกลุ่มจะทำให้ทุกร้านค้าและทุกบริการตอบโจทย์ลูกค้าได้
ขณะเดียวกันยังได้วางโพซิชั่นของโครงการให้เป็นมากกว่าจุดแวะพัก (Beyond Rest Area) โดยมีบริการของศูนย์สุขภาพ พร้อมคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบริการศูนย์ดูแลสุขภาพนอกพื้นที่โรงพยาบาล รองรับผู้ให้บริการในย่านอำเภอแม่ริม รวมถึงคนทำงานในศูนย์ราชการ ที่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ สามารถมาใช้บริการตรวจสุขภาพภายในโครงการเดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม ได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังมีบริการคาเฟ่ ร้านกาแฟดีไซน์เก๋ ๆ โซนเอดูเคชั่น และธนาคาร เป็นต้น
“คาดว่าจะมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยจากจำนวนรถ 10,000-15,000 คันต่อวัน หรือราว 300,000 คันต่อเดือน หรือมีจำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการราว 20,000 คนต่อวัน ตั้งเป้าธุรกิจจะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 7 ปี คาดการณ์รายได้ต่อปีอยู่ที่ 100 ล้านบาท” นางสาวสาริศากล่าว
ในส่วนของโครงการ “กาดฝรั่ง วิลเลจ หางดง” บนเนื้อที่ทั้งหมด 20 ไร่ ซึ่งเฟสที่ 1 พัฒนาไปแล้วราว 15 ไร่ มีรายได้ต่อปีราว 80 ล้านบาท ซึ่งปี 2567 บริษัทได้ขยายการลงทุนในเฟสที่ 2 บนเนื้อที่ 5 ไร่ พื้นที่ทั้งหมดกว่า 4,000 ตารางเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดให้จองพื้นที่
ซึ่งการวางจุดขายของเฟสที่ 2 จะเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ ขยายระยะเวลาการบริการที่ให้ลูกค้าอยู่ให้นานขึ้น เน้นความเป็นไลฟ์สไตล์ เป็นร้านค้ากลางคืนมากขึ้น ผับแอนด์เรสเตอรองต์ ซึ่งมีทั้งร้านค้าท้องถิ่นและอินเตอร์แบรนด์ ซึ่งแบรนด์ดังอย่างสุกี้ตี๋น้อย ก็จะมาเปิดบริการในเฟสที่ 2 ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 นี้ ที่กาดฝรั่ง วิลเลจ หางดง