
โครงสร้างเศรษฐกิจภาคเหนือถือว่ามีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย และมีอัตราการเติบโตต่ำมาตลอดระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยเพราะยังคงพึ่งพา 2 กลไกเดิมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือภาคบริการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร
และเมื่อต้องเผชิญแรงกระเพื่อมจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่างเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ส่งผลให้ภาคเกษตรเสียหายเป็นวงกว้าง และนักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง จึงกระทบต่ออัตราการเติบโตของภาคเหนือ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ จัดเวทีเสวนา “อนาคตธุรกิจดิจิทัล…Bright Spot ของเศรษฐกิจภาคเหนือ” เพื่อสะท้อนว่า ถึงเวลาที่ต้องเร่งหาธุรกิจใหม่ที่สดใส (Bright Spot) เพื่อสร้างการเติบโต (Growth) ต่อเศรษฐกิจภาคเหนือ
ธุรกิจดิจิทัลโตก้าวกระโดด
พรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ เปิดเผยว่า โครงสร้างเศรษฐกิจภาคเหนือในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตค่อนข้างต่ำ เนื่องจากยังพึ่งพาภาคเศรษฐกิจเดิม ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร เป็น 2 กลไกหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เมื่อต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ปัญหาอุทกภัยที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และสภาพอากาศที่แปรปรวน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร
ดังนั้นภาคเหนือจึงต้องมองหา Bright Spot ธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตและสร้างรายได้ให้แรงงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ซึ่งจากข้อมูลหลาย ๆ มิติ เห็นว่าโอกาสและศักยภาพของธุรกิจดิจิทัลในภาคเหนือมีอัตราการเติบโตสูงและเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) ถือเป็นเรือธง (Flagship) ที่สำคัญ
ยอดขายของธุรกิจดิจิทัลหลังโควิด-19 ของไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.6% และในส่วนของภาคเหนือเติบโต 5.7% โดย 10 ปีที่ผ่านมาจำนวนธุรกิจดิจิทัลจดทะเบียนในภาคเหนือเพิ่มขึ้น 2.3 เท่า สูงกว่าประเทศที่เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า มูลค่าของธุรกิจดิจิทัลภาคเหนือเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 3.4% สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนและผู้ประกอบการมองภาคเหนือเป็นพื้นที่สำคัญในการประกอบธุรกิจดิจิทัลในอนาคต โดยเฉพาะเชียงใหม่ พบว่าธุรกิจดิจิทัลจดทะเบียนมากเป็นอันดับ 3 รองจากกรุงเทพฯ ปริมณฑล

ทั้งนี้ จำนวนธุรกิจในภาคเหนือปี 2565 เติบโตขึ้น 1.9 เท่า ของปี 2555 ขณะที่ธุรกิจดิจิทัลโตมากถึง 2.3 เท่า รายได้ธุรกิจรวมเติบโต 60% ขณะที่ธุรกิจดิจิทัลโต 79% และอนาคตมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดยธุรกิจดิจิทัลในหมวด Digital Content & Service และ Software เติบโตดี ตามการผลิตและการบริโภคสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น สะท้อนจากมูลค่า e-Commerce ที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด-19 และสอดคล้องกับการเป็น Smart City ในระดับพื้นที่ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย
ขณะที่มูลค่าการบริโภคมากกว่าการผลิตในประเทศ ทำให้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ในอนาคตจึงเป็นโอกาสที่ธุรกิจดิจิทัลในภาคเหนือจะเพิ่มการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น เช่นเดียวกับหมวด Hardware ที่เติบโตต่อเนื่อง ตามการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่หลายแห่ง มีแรงงานดิจิทัลเกือบ 7 หมื่นคน (ประมาณ 1% ของแรงงานทั้งหมดในภาคเหนือ)
ขณะที่นักศึกษาหลักสูตรดิจิทัลเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า นับตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2566 (ปัจจุบัน วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี สามารถผลิตบัณฑิตด้านดิจิทัลได้ปีละราว 350 คน) แต่รายได้ยังไม่น่าดึงดูดเพราะต่ำกว่ากรุงเทพฯ ถึงครึ่งหนึ่ง (16,260 VS 31,326 บาท/คน/เดือน)
พรวิภา กล่าวว่า ธุรกิจดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเอง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ทั้งด้านเทคโนโลยีสุขภาพ ยานยนต์ โทรคมนาคม การขนส่ง และการเงิน โดยภาคเหนือยังมีศักยภาพสูงในการสร้างมูลค่าเพิ่มในหมวด Software และ Digital Content & Service โดยมีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มต่อรายได้สูงถึง 50-60%
ปั้นดิจิทัล Sandbox เหนือ
ปรัชญา โกมณี ผู้จัดการสาขาภาคเหนือตอนบน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือเผชิญกับ 5 ปัญหาหลัก ๆ คือ 1.ขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ 2.ผู้ประกอบการบางส่วน มองว่าดิจิทัลเป็นต้นทุน 3.ลูกค้าไม่รับรู้การมีอยู่ของธุรกิจในพื้นที่ ทำให้ต้องไปจ้างงานที่อื่น เช่น ในกรุงเทพฯ แต่สุดท้ายกรุงเทพฯ ก็กลับมาจ้างงานธุรกิจดิจิทัลที่ภาคเหนืออีกที 4.ผลกระทบจาก Digital Disruption ทำให้ภาคการศึกษาไม่สามารถปรับหลักสูตรได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว 5.ขาดการเชื่อมโยงระหว่างความต้องการของผู้ว่าจ้างกับผู้ผลิตแรงงาน

โดยข้อเสนอแนะสำคัญที่จะโยงไปถึงการทำ Sandbox ธุรกิจดิจิทัลของภาคเหนือ ได้แก่ 1.หากขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ แก้โดยการพัฒนากำลังคนดิจิทัลในพื้นที่ และปรับหลักสูตรการเรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และส่งเสริมการอบรม พัฒนา บุคลากรที่จบมาแล้วพร้อมทำงาน รวมถึง Upskill บุคลากรดิจิทัล 2.สนับสนุนการเข้ามาของ Digital Nomads และ Remote Workers เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจและดึง Talent เข้ามาในพื้นที่
3.ผู้ประกอบการบางส่วนมองว่าดิจิทัลเป็นต้นทุน แก้โดยการปรับ mindset และเพิ่มการรับรู้ว่า digital เป็นหลักทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของธุรกิจได้ 4.ลูกค้าไม่รับรู้การมีอยู่ของธุรกิจในพื้นที่ ทำให้ต้องไปจ้างงานที่อื่น แก้โดยการส่งเสริมการรวมตัวของผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อเพิ่มการรับรู้ พร้อมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือ โดยสร้าง Ecosystem เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือ และแชร์ความรู้ ประสบการณ์ ตลอดจนเกิดการทำงานร่วมกัน สร้างรายได้ในพื้นที่
5.ภาคการศึกษาไม่สามารถปรับหลักสูตรได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ และขาดการเชื่อมโยงระหว่างความต้องการของผู้ว่าจ้างกับผู้ผลิตแรงงาน แก้โดยมีหน่วยงานกลางเชื่อมโยง เพื่อให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้สู่ธุรกิจในภูมิภาคมากขึ้น 6.ความร่วมมือและการสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐ
ดัน NorthTech Fair
พรวิภา กล่าวต่อไปว่า โอกาสที่จะช่วยเพิ่มการรับรู้ศักยภาพของธุรกิจในพื้นที่และเพิ่มโอกาสการจ้างงาน ผ่านกลไกการจัดงานแสดงนวัตกรรมและพบปะธุรกิจดิจิทัล ตลอดจนสถาบันการศึกษาที่มีหลักสูตรดิจิทัลในพื้นที่ อาจทำในลักษณะ NorthTech Fair และแพลตฟอร์มออนไลน์ Thai Digi Hub
โดยในส่วนของ NorthTech Fair อาจจัดงานปีละ 1 ครั้ง เป็นพื้นที่แสดงนวัตกรรมด้าน digital solution โอกาสการหางาน และดึงดูดการลงทุน โดยมีผู้เข้าร่วมงานหลัก อาทิ Industrial firm ที่มีแผนสร้างนวัตกรรมใหม่ หรือต้องการ digital solution และต้องการหาแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลมาร่วมงาน Tech biz ในพื้นที่ อาทิ software house หรือ development studio ให้มาจัดบูทแสดง digital solution
สำหรับ Thai Digi Hub เป็น Platform ตลาด Matching ด้าน Digital Solution ระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้ที่สนใจรับงาน มี section สำหรับงานที่จบเป็นชิ้น ๆ (เหมาะกับ freelance) และ Zone สำหรับรับสมัครงาน รวบรวมธุรกิจและแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลในระดับต่าง ๆ ภายในพื้นที่ ช่วยเพิ่มการรับรู้การมีอยู่ของธุรกิจดิจิทัลและแรงงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนธุรกิจ การลงทุน และการจ้างงาน
ปรัชญา กล่าวเสริมว่า Sandbox ที่มุ่งยกระดับศักยภาพของพื้นที่เพื่อดึงดูดกลุ่มคนและความรู้จากต่างประเทศให้เข้ามาในพื้นที่ โดยกลุ่ม Digital Nomad และ Remote Worker เป็นกลุ่มคนจากหลาย ๆ ประเทศ หมายถึงการเข้ามาของหลายองค์ความรู้ หลายอาชีพ และวัฒนธรรม โดยผ่านกลไกความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ในการกำหนด Policy เช่น Visa เพื่อเปิดช่องทางการเข้ามาของคนกลุ่มนี้ และต้องมีพื้นที่รองรับที่เหมาะสม เพื่อเป็นจุดกำเนิดของ Ecosystem ของการแลกเปลี่ยนความรู้ Innovation และ Connection จากต่างประเทศ
โดยไทยมี Visa ที่สนับสนุนอยู่หลายตัว เช่น Smart Visa, Destiny Thailand Visa (DTV), Long-Term Resident Visa (LTR), Non-Ed, Non-B เป็นต้น แต่ในพื้นที่ Sandbox สามารถทำให้มีความเจาะจง สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น และง่ายขึ้นได้ จึงเสนอให้มี Digital Service (web) อำนวยความสะดวกด้าน Visa และ Service Space สำหรับทำงาน ซึ่งจะมีสิทธิประโยชน์ทางด้านวีซ่าและภาษี เช่น Visa ในพื้นที่ สามารถอยู่ในจังหวัดได้ 2 ปี แต่ต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมของ Sandbox มีเงื่อนไขที่ง่าย เช่น Sandbox สามารถออกใบรับรอง (คล้าย work permit ได้) แต่จะต้อง Tracking ได้ และสามารถทำงาน Part Time หรืองานอาสาในพื้นที่ได้ 20 ชั่วโมง/สัปดาห์ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ในพื้นที่
ด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ลงทะเบียนธุรกิจ และเกิดการจ้างงานในพื้นที่ Sandbox ลดหย่อนภาษี 20% และจัดตั้งธุรกิจผ่าน Virtual Office และลงทุนในไทย ลดหย่อนภาษี 50% เป็นต้น โดยใน 2 ส่วนนี้ จะต้องอาศัยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัด กงสุล ตรวจคนเข้าเมือง ททท. กระทรวงแรงงาน และภาคธุรกิจในพื้นที่ เป็นต้น