นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN เปิดเผยว่า SUN ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ทำกำไรทะยานพุ่งถึง 140 ล้านบาท เติบโตแข็งแกร่ง 66.8% ขณะที่ผลงาน 9 เดือนแรกรายได้ทะลุ 2,505 ล้านบาท กำไรสุทธิ 261 ล้านบาท เติบโต 8.9% บอร์ดประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ จากการปรับกลยุทธ์มุ่ง “Go West” รุกตลาดอเมริกาและยุโรป ควบคู่กับการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วยระบบ Automation ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Tetra Pak มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท พัฒนานวัตกรรมข้าวโพดหวานบรรจุกล่อง Tetra Recart ตอบโจทย์ตลาดญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป และอเมริกา ตั้งเป้าผลักดันรายได้โต 10-15% ในไตรมาส 4/67
โดยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใหม่นี้ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านธุรกิจ แต่ยังสะท้อนความมุ่งมั่นด้าน ESG ของบริษัทอย่างเป็นรูปธรรม โดยกล่องรุ่น Tetra Recart เป็นบรรจุภัณฑ์แบบคาร์บอนต่ำ ใช้วัสดุหลักเป็นกระดาษที่ได้จากป่าปลูกที่มีการจัดการอย่างรับผิดชอบ จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังสามารถนำไปรีไซเคิลได้ นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยสู่มาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก
สำหรับผู้ถือหุ้นเตรียมรับปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวัน RD วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 และจ่ายปันผลวันที่ 4 ธันวาคม 2567
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการลงทุนก่อสร้างอาคาร Mini Factory 2 ซึ่งเป็นอาคารผลิตสินค้าอาหารพร้อมทาน (RTE) มูลค่าการลงทุน 150 ล้านบาท ขณะนี้มีความคืบหน้าราว 50% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จราวเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตสินค้าได้ราวไตรมาสที่ 1/2568
โครงการ Mini Factory 2 เป็นแผนงานสำคัญของ SUN ในปี 2568 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการ ของตลาด Ready to Eat (RTE) ที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
โดย SUN ให้ความสำคัญกับการพัฒนากระบวนการผลิตที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับสากล และมุ่งในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันสินค้ากลุ่ม RTE ซึ่งวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ เป็นสินค้าสำคัญที่สร้างรายได้จากในประเทศให้เติบโต
โดยในปี 2568 บริษัทมีเป้าหมายในการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ในกลุ่มของสินค้า RTE เพื่อสุขภาพให้มีความหลากหลาย และยกระดับการผลิตสินค้าเดิมให้มีคุณภาพและปริมาณการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตั้งเป้ารายได้สินค้ากลุ่ม RTE เติบโตเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10%
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า Mini Factory 2 จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 180,000-200,000 ชิ้นต่อวัน เเละมีแผนพัฒนาอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) ผลิตภัณฑ์ เพื่อสอดรับกับความต้องการของลูกค้าต่างประเทศ และเหมาะสมกับการส่งออกในอนาคต
ขณะเดียวกัน บริษัทมีคำสั่งซื้อที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความต้องการสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหารพร้อมทาน (RTE) ภายใต้แบรนด์ KC ที่ปัจจุบันวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนารสชาติให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันมีรายการสินค้ากว่า 15 รายการ ปัจจุบันมีกำลังผลิตอยู่ที่ 120,000-150,000 ชิ้นต่อวัน