
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
คึกคักมากสำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตปีนี้ เพราะผ่านมา 9 เดือนทำลายสถิติด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดกว่าทุกจังหวัดในประเทศไทย 360,174.10 ล้านบาท ทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนจังหวัดภูเก็ตฟันธง ! คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2567 จะมีรายได้ทะลุ 5 แสนล้านบาทแน่นอน ภูเก็ตวันนี้ดีกว่าช่วงก่อนโควิด แม้ว่าทัวร์จีนกลุ่มใหญ่ไม่ได้กลับมา แต่ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศเติมเข้ามา
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “ธเนศ ตันติพิริยะกิจ” นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ถึงแผนและกลยุทธ์ในการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
พฤติกรรมทุกชาติเปลี่ยน
ปี 2567 จังหวัดภูเก็ตคาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวทะลุ 5 แสนล้านบาท สูงกว่าสถิติที่เคยทำไว้เมื่อปี 2562 ที่ 470,000 ล้านบาท หากย้อนดูตัวเลขนักท่องเที่ยวยังไม่เท่าปี 2562 แต่กลับมีรายได้มากกว่า ซึ่งภูเก็ตพยายามบอกรัฐบาลมาตลอดตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 ว่าอยากให้รัฐบาลโฟกัสภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
ในปี 2566 มีชาวจีนเข้ามาภูเก็ตเทียบกับ 2562 เพียง 29% แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ คนจีนอยู่นานขึ้นกว่าเดิม 3 เท่าครึ่ง หากนำตัวเลข 3 เท่าครึ่งคูณกับ 30% เท่ากับการใช้ห้องเต็ม 100% แล้ว ส่วน Alipay pass เก็บตัวเลขคนจีนที่เดินทางเข้ามาปี 2566 มีการใช้จ่ายมากขึ้น 4.5 เท่า เติบโตกว่าเดิมเกือบ 50% แต่ระยะเวลาในการเข้าพักยังเท่าเดิม
นอกจากนี้ การใช้จ่ายของคนจีนกระจายตัวมากขึ้นทั้งเกาะ และใช้จ่ายผ่านธุรกิจท้องถิ่นมากขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่กระจุกตัวเพียงบางธุรกิจ และมีการใช้จ่ายในโรงแรมค่อนข้างน้อย มักจะพักโรงแรมเพียง 2 คืน
ทาง ททท.ให้สถิติว่า ก่อนโควิดนักท่องเที่ยวจีนมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ ส่วนกลุ่มที่เดินทางมาด้วยตัวเอง (FIT) มีประมาณ 10% แต่หลังจากโควิดกลับหัวกลับหาง นักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม FIT ขณะที่กรุ๊ปทัวร์เหลือเพียง 10% เป็นกรุ๊ปขนาดเล็กที่มาโดยรถตู้ สะท้อนให้เห็นว่า “พฤติกรรมนักท่องเที่ยวทุกชาติเปลี่ยนไป”
อย่างท่องเที่ยวชุมชนเมืองเก่า ลูกค้าทุกกลุ่มต่างจองล่วงหน้า ทั้งกลุ่มยุโรป ตะวันออกกลาง ซึ่งเมื่อก่อนกลุ่มตะวันออกกลางไม่เคยมาท่องเที่ยวชุมชน หรือเมืองเก่า หรือชาวออสเตรเลีย เมื่อก่อนมาช่วง Green Season อยู่ที่ชายทะเล ใช้ชีวิตอยู่ที่กีฬาทางน้ำ แต่วันนี้มาใช้ชีวิตกับท่องเที่ยวชุมชน หา Local Experience หรืออาหารถิ่นมากขึ้น โลกเปลี่ยนไป เพราะโซเชียลทำให้ทุกคนมีโอกาสเห็นผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น
โฟกัสจุดขาย Sea Sand Sun
เวลาไปโรดโชว์ภูเก็ตยังคงโฟกัส 3 เรื่องเดิมหลัก Sea Sand Sun ต้องยอมรับว่าตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา ทุกคนที่มาเที่ยวภูเก็ต ความประทับใจคือ การมาทะเลภูเก็ต Sea Sand Sun แต่จะมีส่วนอื่นที่เติมเข้ามา เช่น อาคาร อาหาร อาภรณ์ อารมณ์ วัฒนธรรม ท่องเที่ยวชุมชน ยังไม่รวมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมาใหม่
การท่องเที่ยวทางทะเลก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนทุกคนมาเที่ยวด้วยความเร่งรีบ นั่งสปีดโบ๊ต แต่ปัจจุบันทุกคนอยู่นานขึ้น ท่องเที่ยวช้าลง ใช้เวลามากขึ้น ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่มา ไม่ถามหาสปีดโบ๊ตแล้ว อยากไปนั่งเรือคาตามารัน (Catamaran) ท่องเที่ยวทะเล คล้ายกับประเทศกรีซที่ประสบความสำเร็จ นั่งเรือคาตามารันไปเที่ยวเกาะ รูปแบบเป็น Day Trip ดูพระอาทิตย์ตก ถ่ายรูปวิวสวย ดินเนอร์
เมื่อก่อนต้องขึ้นไปนั่งบนแหลมพรหมเทพ ดูพระอาทิตย์ตก แต่ตอนนี้เอาเรือไปจอดดูพระอาทิตย์ตก อีกฝั่งเป็นแหลมพรหมเทพ ใช้ระยะเวลาล่องเรือ 5-6 ชม. แล้วกลับขึ้นฝั่ง แต่หลายคนสนุกสนานมากกว่า สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเริ่มเปลี่ยนไป ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี
นอกจากภูเก็ตได้นักท่องเที่ยวมีคุณภาพมากขึ้น กลุ่มอายุนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่างกัน หากเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อย่างคาซัคสถาน เป็นแบบครอบครัว มีเด็กมาเที่ยวหลายคน และมาเป็นคู่, ตลาดตะวันออกกลาง เป็นกลุ่มอายุน้อย, ตลาดยุโรป เป็นกลุ่มสูงอายุ, ตลาดเอเชีย เป็นกลุ่มอายุที่ต่ำลงมา โดยวาไรตี้ของตลาดแล้วแต่ ยังมีความหลากหลาย เพราะภูเก็ตมีความพยายามโฟกัสตลาด
กลยุทธ์ดึงต่างชาติมาภูเก็ต
สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ทำแผนการตลาด เพื่อขอสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยนำปฏิทิน 12 เดือนมาดู ว่าที่ผ่านมาในแต่ละเดือนตลาดประเทศไหนเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตมาก จากนั้นดูว่านักท่องเที่ยวเดินทางมาอย่างไร มีเที่ยวบินตรงหรือไม่ ถัดไปต้องดูว่าแต่ละกลุ่มตลาดมี Lead Time ในการจองเข้ามาท่องเที่ยวภูเก็ตในระยะเวลาสั้นยาวเพียงใด ใช้ช่องทางไหนในการจอง จากนั้นค่อยนำทั้งหมดมาวางแผนการตลาด ทำการตลาดให้กับเกาะภูเก็ตทั้งปี
ฉะนั้น หากมีคนถามว่าสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตทำตลาดไหนบ้าง จะบอกว่ามีทุกตลาด แต่ในปีนี้มีร่วมกับ ททท.ไปโรดโชว์หลายตลาด เช่น ตลาด South Africa แต่อาจจะยังไม่มีเที่ยวบินตรง ซึ่งสายการบินต่าง ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามา หากมีเส้นทางบินตรง
นอกจากนี้ จะมีการวางแผนจัดกิจกรรมต่าง ๆ และโปรโมตได้ตลอดทั้งปี จากนั้นดูว่างานแสดงสินค้า งานอีเวนต์ใหญ่ ๆ งานกีฬาระดับนานาชาติในโลก มีกี่งานที่น่าสนใจ เราจะเลือกไปประมูลงานต่าง ๆ เพื่อดึงให้เข้ามาจัดที่ภูเก็ต บางครั้งมีคนวิ่งมาจัดเองบ้าง โดยภูเก็ตมีงานในลักษณะนี้เรื่อย ๆ
ยกตัวอย่างก่อนเข้า High Season ช่วงเดือนตุลาคมมีการจัด “เทศกาลกินเจ” ที่เป็นหนึ่งใน Festival ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีขบวนพาเหรดเดินทั้ง 9 วัน
โดยเฉพาะในเมืองภูเก็ตจะพบคนแต่งชุดขาวเกือบทั้งเมือง พอเดือนพฤศจิกายนมีเทศกาลด้านกีฬา ทั้งการแข่งขันไตรกีฬา ลากูน่ามาราธอน (Laguna) มีการแข่งขันเรือคิงส์คัพรีกัตต้า (King’s Cup Regatta) การจัดแข่งขันกอล์ฟสมัครเล่นชิงแชมป์โลก World Amateur Golfers Championship ที่มีนักกอล์ฟเดินทางมาจาก 40 ประเทศ มีการจัด Boat Show และภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงานเบียนนาเล่ (Biennale International Art)
นอกจากนั้น ยังได้เป็นเจ้าภาพ Global Sustainable Tourism Council สภาท่องเที่ยวยั่งยืนโลก จะเดินทางมาประชุมในปี 2026 ซึ่งหลาย ๆ งานจะช่วยดึงคนเข้ามา ที่เหลือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ภาคเอกชนสร้างขึ้น เช่น สวนน้ำ เคเบิลสกี ซิปไลน์ ฯลฯ เป็นต้น
โดยปกติคนมาภูเก็ตเลือกมาช่วง High Season เดือนตุลาคม-มีนาคม เป็นช่วงที่ทะเลภูเก็ตสวยที่สุด ทะเลใส ฟ้าใส ซึ่งเป็นจุดขายเดิมของภูเก็ต แต่ตอนนี้ภูเก็ตต้องนำประสบการณ์ใหม่ ๆ ไปนำเสนอ แบ่งออกเป็น 2 เรื่องคือ
1.ท่องเที่ยวชุมชนที่เป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่น คนจีน คนตะวันออกกลาง หรือคนหลาย ๆ ชาติ ไม่ทราบว่าน้ำกะทิมันไม่เหมือนกัน บางชุมชนมีการสอนตั้งแต่สอยมะพร้าวลงมาจากต้น ซึ่งดูเป็นเรื่องปกติสำหรับคนไทย แต่คนในหลาย ๆ ชาติไม่รู้ เขาคิดว่าเปิดฝามาคือน้ำกะทิ
2.เวลาเดินย่านเมืองเก่าภูเก็ตที่เป็น “อาคาร อาภรณ์ อาหาร” โดยอาคารแบบนี้ในโลกมีหลายที่ แต่ทำไมอาคารที่ภูเก็ตถึงเป็นที่สนใจของคนทั้งโลก ผมมักจะบอกเสมอว่า เพราะถนนของภูเก็ตมีชีวิต เช่น ถนนถลาง ไม่ใช่ถนนที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วเอาคน-ร้านค้าไปอยู่ แต่มันคือชุมชนที่คนอยู่จริง ๆ แล้วหันมาทำธุรกิจและเรื่องท่องเที่ยวมากขึ้น
ทำให้ผู้คนที่เดินไปบนถนนเส้นนี้รู้สึกว่าเดินบนถนนที่ยังมีชีวิต บางทีเราไปเดินอาคารสวย ๆ ที่อื่น แต่กลับไม่รู้สึกถึงความสวยงาม ความไม่มีชีวิต
รถติด-ขาดน้ำอุปสรรค
ถ้าหากต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพ ผู้ประกอบการต้องมีคุณภาพ จุดหมายปลายทางต้องคุณภาพ ซึ่งผู้ประกอบการเอกชนในภูเก็ตไม่ค่อยกังวลมากนัก เชื่อว่าผู้ประกอบการต่างมีความจริงจังที่จะหมุนธุรกิจเข้าไปเป็น Destination ที่มีคุณภาพ ที่ผ่านมาทางสมาคมมีการสนับสนุนการฝึกอบรมโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
แต่สิ่งที่เป็นข้อกังวลที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราคือ 1.ข้อจำกัดด้านสนามบิน จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องพัฒนาด้านอาคารให้ดูกว้างขวาง สะดวกกว่านี้ พัฒนาให้มีหลุมจอดมากขึ้น เพื่อรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวให้เพียงพอ หลายคนไม่ทราบว่าที่มีเครื่องบินขึ้น-ลงประมาณ 300 เที่ยวต่อวัน แต่มีหลุมจอดเพียง 29 หลุมจอดเท่านั้น
2.ข้อจำกัดด้านถนน เนื่องจากภูเก็ตมีถนนเข้าเมืองเพียงเส้นเดียว คือถนนเทพกระษัตรี เวลาฝนตกมีน้ำท่วมขัง จราจรติดขัด คนไม่สามารถไปขึ้นเครื่องบินได้ทัน ดีเลย์หมด อยากฝากถึงรัฐบาล ถ้ามองว่าการท่องเที่ยวคือเศรษฐกิจที่เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลัก จำเป็นอย่างยิ่งต้องพัฒนาในส่วนนี้ วันนี้เราได้นักท่องเที่ยวคุณภาพ แต่ถ้าเดินทาง 20 กม. รถติดไป 3-4 ชม.
อาจทำให้นักท่องเที่ยวไม่มาอีก แต่การสร้างถนนเส้นใหม่ ต้องมีการเวนคืนแพง และติดพื้นที่ป่าต้องขออนุญาต จึงเสนอทางออก คือ (1) ให้สร้างถนน 2 ชั้นทำเป็นทางด่วนยกระดับ ไม่ต้องเวนคืน เหมือนถนนวิภาวดีรังสิต สุขุมวิท บูรพาวิถี โดยเฉพาะเส้นหลักเพียง 50 กม. ใครวิ่งข้างบนจ่ายเงิน มีทางเข้าช่วงป่าตอง (2) ทำระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นทางเลือกในการเดินทาง หากภูเก็ตมีรถติดและอุบัติเหตุมาก ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะคุณภาพที่เป็นทางเลือก ภูเก็ตจะกลายเป็น Destination ไม่มีคุณภาพ
3.ปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำคุณภาพ ทำให้ที่ผ่านมาโรงแรมต้องซื้อน้ำใช้ในราคาแพง ซึ่งปัญหาเรื่องนี้พูดกันมานาน รัฐบาลมีการศึกษามาตลอด 20 ปี
ในส่วนของโครงการผลิตและส่งน้ำประปาจากเขื่อนรัชชประภาไป จ.ภูเก็ต พังงา และกระบี่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ จากมูลค่าก่อสร้างระดับหลักพันล้านบาท ตอนนี้อาจจะขึ้นไประดับหมื่นล้านบาท ยังไม่ได้ดำเนินการ