
การเติบโตของทุเรียนภาคตะวันออก คาดการณ์เบื้องต้นปี 2568 จะมีประมาณ 600,000 ตัน ด้วยสภาพอากาศที่ติดผลยาก ลดลงจากปี 2567 เล็กน้อย 14% จาก 666,329 ตัน แต่ทุเรียนยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าปีละหลายแสนล้านบาท ท่ามกลางปัญหารุมเร้า
ขณะที่ภาพรวมทุเรียน 2 ปีที่ผ่านมา ในกลุ่มประเทศ ASEAN ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ต่างปลูกและมุ่งส่งไปตลาดจีน แน่นอนว่าอีก 3-5 ปี ทุเรียนไทยได้รับผลกระทบแน่นอน
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “วุฒิชัย คุณเจตน์” นายกสมาคมทุเรียนไทยและเจ้าของไร่ทุเรียนสุขเกษม จ.จันทบุรี ถึงวิกฤตทุเรียนไทยต่อจากนี้ การปรับเปลี่ยนของห่วงโซ่ การบริหารจัดการในรูปแบบอุตสาหกรรม ภาพรวมของทุเรียน ASEAN
เวียดนามเงื่อนไขจูงใจล้ง
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของทุเรียนไทยแบบก้าวกระโดด ล้งจีนพากันเข้ามาซื้อทุเรียนภาคตะวันออกจำนวนมาก ปี 2567 มีล้งกว่า 1,000 ล้ง มีการแข่งขันสูง ราคาทะยานเกิน 100 บาท/กก. ท่ามกลางเวียดนามคู่แข่งขันสำคัญ ปี 2566 เริ่มเปิดราคาต่ำกว่าไทย เพื่อดึงดูดนักลงทุน หมอนทองไทย ราคา กก.ละ 100 บาท เวียดนาม 80 บาท และปี 2567 เวียดนามพัฒนาคุณภาพขึ้นมา และออกชนกับทุเรียนภาคใต้ของไทย ปี 2568 โจทย์ใหญ่ คือ ปริมาณทุเรียนที่คาดการณ์ไว้ระยะแรก ประมาณ 600,000 ตัน
การบริหารจัดการในห่วงโซ่อุปทานในรูปแบบอุตสาหกรรมทุเรียนเรื่องสำคัญที่ต้องเตรียมการ เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาไทยเจอสภาพอากาศร้อนแล้ง ผลผลิตลดลง เพราะมีพื้นที่ปลูกใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้ปัญหายังไม่ระเบิดออกมา โดยเฉพาะเรื่องระบบการขนส่งที่ล่าช้าทำให้ผลผลิตเสียหาย
ทุเรียนเวียดนามขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ภาพรวม การค้า การลงทุน ความพร้อมในการขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานสู้ไทยไม่ได้ แต่ด้านการตลาดเวียดนามจับลูกค้าฐานล่างที่มีจำนวนมากได้ ส่วนไทยได้เปรียบด้านความสัมพันธ์กับจีน แบรนด์ทุเรียนไทยที่ทำให้ได้ราคาสูงอยู่ ส่วนมาเลเซียเจาะลูกค้าพรีเมี่ยมและมีกำลังการผลิตไม่มาก ส่วนลาว กัมพูชา คาดว่าอีก 5 ปีจะมีบทบาท เพราะเป็นการผลิตสเกลใหญ่ น่าจะกระทบเรื่องราคาที่อาจจะไม่ได้สูงอย่างทุกวันนี้
สัดส่วนการตลาดจะเปลี่ยนแปลงด้วยระบบการค้าออนไลน์ที่มากกว่าออฟไลน์ และราคาต่ำกว่า ตลาดจีนมีความต้องการบริโภคทุเรียน โดยเฉพาะตลาดกลางและล่างที่มีจำนวนมาก ผ่านการค้าออนไลน์ ซึ่งต้องการสินค้าดี มีคุณภาพและราคาถูก ไม่ใช่เกรดพรีเมี่ยม
แต่ต้องเป็นทุเรียนที่กินได้ทุกลูก อนาคตทุเรียนไทยต้องทำคุณภาพและลดต้นทุนให้ต่ำลง เพื่อแข่งขันราคา อาจจะไม่ใช่ราคาสูงอย่างทุกวันนี้ ที่ผ่านมาล้งจีนหน้าใหม่ที่เข้ามารับซื้อทุเรียนไทย เห็นว่ามีอัตราความเสี่ยงสูง เพราะมีเงื่อนไขให้เหมาสวนทุกลูกราคาเดียวกันล่วงหน้า 1-2 เดือน
มีโอกาสที่ราคาเหมาสวนสูงกว่าราคาตลาด ทำให้เถ้าแก่ใหม่ ๆ ที่ไม่เข้าใจเรื่องทุเรียนขาดทุนหนัก และย้ายไปซื้อทุเรียนที่เวียดนามแทน เพราะมีอัตราความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะการเหมาสวนที่เวียดนามเป็นราคาเฉลี่ยตามสัดส่วนเบอร์ A B และซื้อขายล่วงหน้าเพียง 1 สัปดาห์ที่ต้องการสินค้า ทำให้เป็นราคาตลาดค่อนข้างแน่นอน
ตลาดระดับกลาง-ล่างโต
ปี 2568 ล้งที่รับซื้อทุเรียนภาคตะวันออกมีทีท่าจะลดลงมาก เถ้าแก่ใหม่ ๆ ขาดทุน เลิกหรือถอนตัวย้ายไปค้าทุเรียนที่เวียดนาม เพราะทำกำไรได้ง่ายกว่า ล้งที่รับซื้อน้อยลงจะทำให้อำนาจการต่อรอง และราคาจริงหายไป แนวทางการบริหารจัดการ คือ เกษตรกรต้องทำคุณภาพ ยกระดับมาตรฐานเพื่อให้พ่อค้าแข่งขันกันซื้อและลดต้นทุนเพื่อให้ราคาต่ำลง
ลาวปลูกทุเรียนแปลงใหญ่ กลุ่มนักลงทุนได้เปรียบ มีเม็ดเงินลงทุนมาก พื้นที่ขนาดใหญ่เหมาะใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิต ส่วนเวียดนามเป็นแปลงย่อย ต้องจับตาดูอีก 5 ปี เมื่อปริมาณผลผลิตออกมากจะกระทบด้านซัพพลายแน่นอน เราต้องเตรียมปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงด้วยการบริหารจัดการในห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่ทุเรียนเวียดนามมีผลกระทบทางภาคใต้ที่ออกตรงกัน มีการแข่งขันกันชัดเจน
ต้องยอมรับว่าราคาทุเรียนไทยสูงแตะเพดานแล้ว ชาวสวนขายมีกำไร เถ้าแก่ที่ซื้อทุเรียนพรีเมี่ยมไปขายกลุ่มลูกค้าระดับกลางราคาแพง บางครั้งพบของไม่มีคุณภาพ ตลาดปลายทางทำกำไรยาก ต้องขายราคาถูกขาดทุน เราจำเป็นต้องรักษาตลาดไว้
โดยการทำคุณภาพและตอบรับความเปลี่ยนแปลง ความนิยมทุเรียนไซซ์เล็กลงในตลาดผู้บริโภคระดับกลางและระดับล่าง ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ถ้าการบรรจุ การระบายของ ระบบการขนส่งที่รวดเร็วมารองรับ ทุเรียนไม่เกิดความเสียหาย ตลาดขายได้
ระบบผลิตเป็นอุตฯทั้งห่วงโซ่
ทุเรียนไทยมูลค่ากว่าแสนล้านบาท แต่ระบบการผลิตตลอดห่วงโซ่ ยังไม่ได้ทำเป็นอุตสาหกรรมอย่างอ้อย มันสำปะหลัง จะต้องมีระบบฐานข้อมูลที่ชัดเจน พื้นที่ปลูก แหล่งผลิต ผลผลิต ฤดูกาลการผลิต ตอนนี้เป็นการผลิตที่ต่างคนต่างทำ ทั้งที่ทุเรียนมีปลูกทั่วประเทศ มองถึงการเพิ่มผลผลิต ราคารายได้ ไม่ได้มองภาพรวมในมิติต่าง ๆ การค้า ตลาด ซึ่งต้องมีการปรับเปลี่ยนเตรียมรองรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งทุเรียนในประเทศไทย และใน ASEAN
การตั้งหน้าตั้งตาผลิตอย่างเดียว หากผลผลิตปริมาณมาก ระบายไม่ทันก็ไม่มีมูลค่า โจทย์ต้องดูภาพใหญ่ให้ชัด ตลาดทุเรียนมีความต้องการคุณภาพ การค้านักลงทุนต้องปรับตัว การขนส่งในช่วงพีกที่มีปริมาณส่งออก 800-1,000 ตู้/วัน เพื่อไม่ให้ของติดที่ด่านเสียหาย รูปแบบการซื้อขายออนไลน์ แข่งขันกันทั้งคุณภาพและราคา สำคัญสุดลูกค้าดูราคาก่อน
และเลือกที่ราคาถูกกว่าและคุณภาพดีกว่า ถ้ามุ่งผลิตทุเรียนพรีเมี่ยมและนำมาวางผิดตลาด คนไม่มีกำลังซื้อ โจทย์คือคุณภาพอาจจะไม่ต้องดีที่สุดหรือพรีเมี่ยม แต่ต้องเป็นคุณภาพที่คุ้มราคาที่จ่าย ทุเรียนต้องกินได้ทุกลูก
เกษตรกร พ่อค้า ต้องเปลี่ยนแนวคิดร่วมมือกันสร้างพลังขับเคลื่อน เหมือนจีนที่รวมพลังกัน เกษตรกรต้องรับรู้ รับผิดชอบปัญหาทุเรียนที่ออกสู่ตลาด ทำคุณภาพตามตลาดต้องการ มาตรฐานสูงขึ้น สารเคมีตกค้าง สารปนเปื้อนแดดเมียมต้องชัดเจนก่อนเก็บเกี่ยว ไม่ใช่ขายเสร็จปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อค้า
ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะทุเรียนอ่อน แก่ ไปแล้วแตก เน่า ที่กลัวกันมากที่สุด คือ ทุเรียนไม่สุก กินไม่ได้ เป็นเรื่องการจัดการไม่ดีก่อนการเก็บเกี่ยว ระบบโลจิสติกส์จัดการไม่ให้ของกระจุกตัว และเกิดความเสียหาย คำถามคือทำอย่างไรให้ราคายืนอยู่ที่ กก.ละ 100 บาท
ต่อไปการปรับตัวในอนาคตของทุเรียนไทย การบริหารจัดการเพื่อให้เกิดมูลค่า ไม่ต่างคนต่างผลิต ต่างซื้อขาย ต้องเตรียมตัวทำในภาพของทุเรียน ASEAN เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ ต้องโฟกัสให้ชัดใน 3 เรื่อง คือ 1) ข้อมูลทุเรียน ทั้งพื้นที่ปลูก พื้นที่ให้ผลผลิต และแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ทุกวันนี้มีหลายหน่วยงานที่ทำ แต่ขาดความต่อเนื่องชัดเจน ภาคเอกชนพยายามเข้าไปช่วยรวบรวม
2) ฤดูกาลผลผลิต และการผลิตต้องทำให้ผลผลิตไม่ชนกัน และตรงความต้องการของตลาด และ 3) การคาดการณ์ผลผลิต ทำให้ปริมาณตรงความต้องการของตลาด ไม่ใช่มุ่งผลิตให้ได้ปริมาณมาก และราคาแพง โดยไม่มองภาพรวม
“การทำระบบข้อมูล จะทำให้มองเห็นประเด็นที่สร้างผลกระทบชัดเจน ทำให้รู้สึกตระหนักและมีส่วนร่วม ต้องตื่นตัวกับปัญหาภาพใหญ่ และรู้ว่าควรปรับเปลี่ยนเรื่องไหนก่อน ต้องทำให้เป็นอุตสาหกรรมทุเรียน เพื่อให้ปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ภาพใหญ่คือโอกาสที่จะสร้างมูลค่าทุเรียน รักษาราคาอยู่ที่ กก.ละ 100 บาท ไม่ใช่ 3 กก. 100 บาท ล้งอยู่ได้ ชาวสวนอยู่ได้ จังหวะตอนนี้ราคาทุเรียนยังลอยลำอยู่ ช่วยกันออกแรงอีกนิด ไม่ต้องรอรัฐบาล ถ้ารอโอกาสหมดไปทุกวัน”