
นับถอยหลังอีกเพียง 8 เดือนหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติผ่อนปรนให้ที่พักบูติคและโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตที่อยู่นอกระบบ หรือไม่มีใบอนุญาต ที่ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2559 สามารถดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมตาม พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2547 ได้ หากปฏิบัติตามกฎกระทรวง 3 ฉบับ และประกาศทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนปรนให้
โดยมีระยะเวลาต้องปรับปรุงเงื่อนไขให้แล้วเสร็จภายใน 18 สิงหาคม 2568 ได้แก่ 1.กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2554 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 พ.ศ. 2558
2.กฎกระทรวงที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จำนวน 2 ฉบับ คือ กฎกระทรวงฉบับที่ 15 พ.ศ. 2519 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2559 ฉบับที่ 4 (วันที่ 20 มิถุนายน 2566)
3.ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2560 ซึ่งปัจจุบันได้ยกร่างประกาศฉบับใหม่ ให้โดยผ่านการประชุม ครม.แล้วเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 โดยเพิ่มขนาดจำนวนห้องพักของโรงแรม อาคารอยู่อาศัยรวม อาคารชุดที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามข้อกำหนดท้ายประกาศ คือโรงแรมที่มีห้องพัก 11 ถึง 49 ห้อง จากเดิมกำหนดมีห้องพัก 10 ถึง 29 ห้อง
และโรงแรมที่มีห้องพัก 50 ถึง 79 ห้อง หรือมีพื้นที่ใช้สอยอาคารตั้งแต่ 2,500 4,000 ตร.ม. ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (IEE) จากเดิมกำหนดมีห้องพัก 30 ถึง 79 ห้อง นอกจากนี้ ได้ปลดล็อกเรื่องที่ว่างของอาคารให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร
ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีผู้ประกอบการโรงแรม 6,000 แห่ง มีใบอนุญาต 950 แห่ง ไม่มีใบอนุญาต 5,060 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นโรงแรมที่เข้าหลักเกณฑ์โรงแรมขนาดเล็ก 500 แห่ง เป็นสมาชิกของสมาคมที่พักบูติคภูเก็ต 250 แห่ง
ล่าสุดทางสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดภูเก็ตได้นำเสนอประเด็นข้อกฎหมาย กระบวนการขับเคลื่อน และปัญหาในการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดย่อมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตให้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการยกระดับและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
หลังจากได้ร่วมกับสมาคมที่พักบูติคจังหวัดภูเก็ตเปิดคลินิกให้คำปรึกษาและกลั่นกรองเพื่อร่วมขับเคลื่อนการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดย่อม (SMEs) จังหวัดภูเก็ต
ซึ่งที่ผ่านมามีเปิดให้คำปรึกษาแนะนำมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 มีผู้เข้ารับการให้คำปรึกษา รวม 30 ราย
สามารถสรุปประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ เพื่อให้ได้ใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้แก่ 1.ที่ดินที่ตั้งโครงการ/อาคารที่ขออนุญาต ติดภาระจัดสรรที่ดิน ต้องรอการวินิจฉัยหารือ 2.การตีความกฎหมายของเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการดัดแปลง และเปลี่ยนการใช้อาคาร ยังไม่เข้าใจกฎหมายทั้ง 4 ฉบับที่ผ่อนปรนให้
3.ขาดการตรวจสอบอาคาร เพื่อให้คำแนะนำและข้อสรุปที่ถูกต้อง ในการติดตั้งระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัย 4.ขาดความมั่นใจในการใช้งบประมาณสำหรับจัดทำรายงานสิ่งแวดล้อม (COP) และการเขียนแบบแปลนใหม่ รวมถึงการรับรองโครงสร้างอาคาร
พร้อมเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและข้อเสนอแนะ แบ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ 1.การออกกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2568 เพื่อขยายระยะเวลาการดำเนินการอีกอย่างน้อย 2 ปี เนื่องจากเงื่อนไขเดิมที่ผ่อนปรนไว้จะหมดอายุลงภายในวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ทัน เนื่องจากประเด็นปัญหาดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับบุคลากรที่น้อยทำให้ไม่สามารถตรวจสอบเอกสาร และอาคารทั้งหมดได้ทัน
2.ออกกฎหมายเฉพาะเพื่อนำโรงแรมขนาดย่อม (SMEs) เข้าสู่ระบบภายใต้กฎหมายว่าด้วยโรงแรม พ.ศ. 2547 โดยเปิดล็อกข้อจำกัดด้านกฎหมายฉบับต่าง ๆ และ 3.ออกกฎระเบียบ/กติกา โดยให้อำนาจคณะกรรมการ/คณะทำงานในระดับจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อการนำอาคารประเภทอื่นมาประกอบธุรกิจโรงแรมเป็นรายกรณีภายในระยะเวลาที่กำหนด 3 ปี
สำหรับข้อเสนอเชิงปฏิบัติ คือ 1.การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) เป็นการเร่งด่วนเพื่อสร้างความเข้าใจการพิจารณาวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ถูกต้องให้แก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
2.การส่งเสริมผลักดันให้ใช้วิธีการขออนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคาร (ยื่นแบบ ข.2) เพื่อให้สามารถรับใบอนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคาร (ใบ อ.4) จาก อปท.ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 18 สิงหาคม 2568 และ 3.การตั้งคณะทำงาน/หน่วยตรวจสอบอาคาร
โดยมุ่งเน้น (1) การติดตั้งระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัย (2) การรับรองหน่วยน้ำหนักบรรทุกจร/โครงสร้างอาคาร การจัดทำรายงานสิ่งแวดล้อม (COP) รวมทั้งการติดตั้งบ่อดักไขมัน