ทุเรียนใต้โดนน้ำท่วมยืนต้นตาย 11 จังหวัดพืชเกษตรเสียหายรวม 2 แสนไร่

south
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 21 ธันวาคม 2567

น้ำท่วมใต้ทำเกษตรกรเดือดร้อน กรมส่งเสริมฯเผยพื้นที่เสียหาย 2 แสนไร่ ครอบคลุม 11 จังหวัด เกษตรกรได้รับผลกระทบ 94,206 ราย เตรียมเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ 500 ล้าน ไม้ผลจ่ายไร่ละ 4,048 บาท ไม่เกิน 30 ไร่ต่อครัวเรือน ทุเรียนสุราษฎร์-นครฯอ่วม ยางเสียหายหนัก เงินหายครัวเรือนละ 2-3 หมื่นบาท ขณะที่ปาล์มโล่ง ช่วงโลว์ซีซั่น ผลผลิตน้อย

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยถึงผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ว่า กรมได้รับรายงานพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใต้ จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา สตูล ตรัง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และจังหวัดระนอง โดยพบว่าเกษตรกรได้รับผลกระทบจำนวน 94,206 ราย เป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะเสียหาย 203,086 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 56,513 ไร่ พืชไร่และพืชผัก 14,406 ไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้นและอื่น ๆ 132,167 ไร่

ผลไม้เสียหายช่วยไร่ละ 4,048 บาท

ทั้งนี้ กรมจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้สามารถใช้เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด หรือในอำนาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนเกิดภัย โดยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความช่วยเหลือครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว ไร่ละ 1,340 บาท พืชไร่และพืชผัก ไร่ละ 1,980 บาท ไม้ผล ไม้ยืนต้นและอื่น ๆ ไร่ละ 4,048 บาท โดยการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราช่วยเหลือที่กระทรวงการคลังกำหนด

นอกเหนือจากที่รัฐบาลมีมาตรการชดเชยครัวเรือนละ 9,000 บาท ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

คาดวงเงินช่วยเหลือ 500 ล้าน

สำหรับขั้นตอนการขอรับความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านพืช โดยเกษตรกรจะยื่นเอกสารเพียงครั้งเดียว และภายใน 10 วันทำการหลังจากได้รับการอนุมัติ ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีให้เกษตรกรโดยตรง ตามลำดับต่อไป ให้เกษตรกรระวังการแอบอ้างจากมิจฉาชีพหรือผู้ไม่หวังดีในการรับเงินด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าวงเงินให้ความช่วยเหลือประมาณกว่า 500 ล้านบาท

นอกจากนี้ได้สั่งการให้เตรียมสนับสนุนฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยศูนย์ขยายพันธุ์พืช (ศขพ.) จำนวน 10 แห่ง ได้จัดเตรียมเมล็ดพันธุ์และต้นพันธุ์พืชไว้พร้อมแล้ว ซึ่งเป็นพืชอายุสั้นที่เกษตรกรสามารถนำไปปลูกเพื่อเป็นอาหาร ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวและเพิ่มรายได้ เช่น เมล็ดพันธุ์พืชผัก จำนวน 70,000 ซอง และต้นพันธุ์ไม้ผลไม้ยืนต้น

ADVERTISMENT

ทุเรียนสุราษฎร์-นครฯโดนหนักสุด

แหล่งข่าวจากเกษตรกรสวนทุเรียนแปลงใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ”ว่า น้ำท่วมใน จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช มีผลกระทบต่อการปลูกทุเรียนบริเวณพื้นที่ลุ่มที่มีน้ำท่วมขังประมาณ 4-5 วัน โดยเฉพาะทุเรียนต้นใหม่ ๆ ที่อายุประมาณ 3-4 ปี เพิ่งเริ่มให้ผลผลิต ถ้าถูกน้ำท่วมขังหลายวันจะทำให้ใบร่วง และอาจจะยืนต้นตาย เช่น ที่ อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี ฝนชุก ตอนนี้คาดว่ามีสวนทุเรียนที่ใบร่วงไปแล้ว ประมาณ 40% ยกตัวอย่างใน จ.สุราษฎร์ธานี ตอนนี้บางพื้นที่น้ำยังไม่ลด ต้องรอดูสถานการณ์ให้น้ำลดอีก 2-3วัน ขณะที่ จ.นครศรีธรรมราช ทุเรียนน่าจะได้รับผลกระทบหนักกว่าใน 4-5 อำเภอที่ติดภูเขา และเป็นแหล่งปลูกทุเรียน เช่น อ.พรหมคีรี ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ

“น้ำท่วมจะมีผลต่อผลผลิตทุเรียนที่จะออกในฤดูกาลหน้า ปกติช่วงนี้ชาวสวนภาคใต้จะใช้เทคนิคทำให้ทุเรียนออกดอก เพื่อให้ผลผลิตไปออกช่วงเดือนมิถุนายน ตามหลังผลผลิตทุเรียนภาคตะวันออกออกสู่ตลาด แต่เมื่อทุเรียนได้รับปริมาณน้ำฝนมาก แทนที่จะออกดอก ต้นทุเรียนกลับแตกใบอ่อน ทำให้ต้องรอทุเรียนออกดอกในรุ่นต่อไป”

ADVERTISMENT

ถ้าน้ำขังต้นทุเรียนจะทำให้ทุเรียนไม่ออกดอก แต่ถ้าทำได้จะไปให้ผลผลิตเดือนสิงหาคม ซึ่งตรงกับช่วงทุเรียนเวียดนามออกพอดี จะฉุดทำให้ราคาทุเรียนในตลาดจีนตก

นายดำรงศักดิ์ สินศักดิ์ ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร จ.ชุมพร (ศพก.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหาฝนตกหนักในภาคใต้ ส่งผลต่อพื้นที่ปลูกทุเรียนใน จ.ชุมพร ซึ่งเป็นแหล่งผลิตทุเรียนที่มากที่สุดในภาคใต้ ได้รับผลกระทบน้อย เพราะเป็นลักษณะน้ำระบายไม่ทันมากกว่า ไม่มีสภาพน้ำท่วมขังและทุเรียนส่วนใหญ่ปลูกบนพื้นที่สูง ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อผลผลิตในฤดูกาลหน้า แต่กลับเป็นผลดีที่ได้เก็บกักน้ำได้ปริมาณมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาเจอปัญหาร้อนแห้งแล้งที่ทำให้ผลผลิตทุเรียน จ.ชุมพรลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ถึง 20,000 ตัน คาดว่าฤดูกาลหน้าจะผ่านภาวะแห้งแล้งขาดน้ำไปได้

ปาล์มเสียหายเล็กน้อย 5-10%

นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย และในฐานะประธานกลุ่มปาล์มแปลงใหญ่ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า พื้นที่ภาคใต้ที่มีการปลูกปาล์มน้ำมันประมาณ 6 ล้านไร่ กระจายทั่วพื้นที่จังหวัดภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช ชุมพร เป็นต้น จากปัญหาน้ำท่วมตอนนี้ คาดว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันจะเสียหายเพียง 5-10% จากผลผลิตที่กำลังจะออกช่วงนี้ 8-9 แสนตันต่อเดือนที่จะเข้าสู่โรงงานสกัด เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตออกน้อยและโรงงานสกัดประกาศปิดซ่อมประจำปี

“เชื่อว่าจะมีปัญหาเพียงในระยะสั้น ไม่น่ามีผลกระทบต่อราคาและผลผลิต แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบบ้าง คือ เกษตรกรไม่สามารถออกไปตัดผลปาล์มได้ เนื่องจากน้ำท่วม ซึ่งจะมีผลทำให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันเข้าสู่โรงงานน้อยลง”

สวนยางรายได้หาย 2-3 หมื่น

นายสุนทร รักษ์รงค์ เลขาธิการสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พื้นที่ปลูกยางพาราส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา พัทลุง เป็นต้น จากการติดตามขณะนี้ได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม ส่งผลกระทบให้เกษตรกรขาดรายได้เฉลี่ย 2-3 หมื่นบาทต่อเดือน สำหรับเกษตรกรที่มีสวนยาง 10 ไร่ต่อครัวเรือน เนื่องจากไม่สามารถออกไปกรีดยางได้ และต้นยางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ชอบน้ำ หากพื้นที่ไหนมีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นยางพาราโทรม รากเสียหายและยืนต้นตายได้

“ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เกษตรกรจะมีรายได้จากการกรีดยาง ซึ่งช่วงพฤษภาคมจนถึงเดือนมีนาคมของทุกปีจะเป็นช่วงเปิดหน้ายางและเป็นช่วงที่จะมียางพาราออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก โดยปกติเราจะหยุดกรีดยาง 3-5 เดือน คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ส่วนราคายางโดยเฉพาะยางดิบราคาอยู่ที่ 70 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนยางก้อนถ้วยอยู่ที่ 60 บาทต่อกิโลกรัม”