TNDR แก้ “น้ำท่วม-PM 2.5” ลุยภาคเหนือทำ Flood Mark 3 พันจุด

flood-pm2.5

หากประเมินสถานการณ์ภัยพิบัติของจังหวัดเชียงใหม่ในปี 2567 ที่ผ่านมา การถอดบทเรียนจากสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมในรอบศตวรรษ นับว่าสาหัสสากรรจ์ทั้งในเรื่องความเสียหายในพื้นที่เศรษฐกิจ ขวัญกำลังใจที่หวาดหวั่นกับฤดูน้ำหลากในปี 2568 ที่นับเป็นตัวเลขเม็ดเงินที่ชดเชย และผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่า 5,000 ล้านบาท ไม่รวมถึงปัญหาไฟป่า-ฝุ่นควัน PM 2.5 ที่กำลังคืบคลานมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมของทุกปี

จนเรียกกันว่าฤดูฝุ่นควันเชียงใหม่ และภาคเหนือ ที่เผชิญมาต่อเนื่องกว่า 2 ทศวรรษ ส่งผลกระทบเชิงสุขภาพและตัวเลขเศรษฐกิจต่อภาคการท่องเที่ยวสูงในระดับหมื่นล้านต่อปี

TNDR จับมือ สสน.-มช. แก้

ดร.พิจิตต รัตตกุล ประธานเครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย 19 มหาวิทยาลัย (TNDR) เปิดเผยว่า เครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย หรือ TNDR จาก 19 มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผนึกกำลังเตรียมรับมือภัยพิบัติในภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอุทกภัยและฝุ่นควัน PM 2.5

โดยเครือข่ายได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงรับมือน้ำท่วม เพื่อให้มีข้อมูลคาดการณ์ภัยพิบัติล่วงหน้าที่แม่นยำจะช่วยลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยศักยภาพรถสำรวจระดับความสูงภูมิประเทศ (Mobile Mapping System : MMS) ในการจัดทำเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) ครอบคลุมพื้นที่น้ำท่วมเชียงใหม่กว่า 3,000 จุด พร้อมสร้างแผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม (Flood Map) ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์และวางแผนป้องกันภัยล่วงหน้า สามารถดูได้ว่าน้ำจะท่วมถึงพื้นที่ไหน ระดับน้ำเป็นเท่าไรชัดเจน

ซึ่งภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนรับมือภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เครือข่าย TNDR หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ให้เกิดการทำงานที่ประสานกันในเชิงรุก เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ

รศ.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิชาการสนับสนุนด้านการบริหารจัดการน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า พื้นที่เขตเมืองจังหวัดเชียงใหม่เดิมได้มีการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและหลักระดับน้ำท่วมมาตั้งแต่ปี 2555 โดยใช้เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 ซึ่งระดับน้ำปิงที่สถานี P.1 = 4.60 เมตร มาเป็นฐานคิด แต่เดือนตุลาคม 2567 ระดับน้ำปิง ที่สถานี P.1 = 5.30 เมตร ระดับความสูงเพิ่มขึ้น และน้ำท่วมได้แผ่ออกไปมากกว่าเดิม

ADVERTISMENT

ดังนั้นการจัดทำระบบสารสนเทศของเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม มากกว่า 3,000 จุด แสดงค่าความสูงของระดับน้ำที่จะท่วมแต่ละพื้นที่ ติดตั้งกระจายทั่วพื้นที่ที่เคยเกิดน้ำท่วมในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ แสดงผลผ่านเว็บไซต์ “เครื่องหมายระดับน้ำท่วมเขตตัวเมืองเชียงใหม่ ปี 2567 : CM Flood Mark 2024 (https://watercenter.scmc.cmu.ac.th/cmflood/flood24)” ตอนนี้ได้ทำการเก็บข้อมูลไปค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้ว โดยมีเป้าหมายทำ Flood Mark ให้ถึง 4,000 จุด กระจายครอบคลุมเขตที่น้ำเคยท่วมทั้งหมด 8 โซน

โดยเชื่อมั่นว่าในรอบหน้าหากมีภัยน้ำท่วมรุนแรงเกิดขึ้น ประชาชนสามารถป้องกันตนเองได้จริง แต่ยังจำเป็นต้องแก้ที่จุดต้นเหตุ จึงขอให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ 200 ล้านบาท มาจัดการขุดลอกเพิ่มศักยภาพให้กับลำน้ำปิงให้มากขึ้น และปรับปรุงฝายหินทิ้ง 3 ฝายในลำน้ำปิง โดยต้องทำเร่งด่วนให้เสร็จภายใน 6 เดือนนี้

ADVERTISMENT

ดร.สุทัศน์ วีสกุล ที่ปรึกษา สสน. เปิดเผยว่า สสน.ได้สนับสนุนเทคโนโลยีสำรวจระดับความสูงภูมิประเทศ (Mobile Mapping System : MMS) ที่ใช้ในการสำรวจระดับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นใน 5 จังหวัดภาคเหนือแล้ว ประกอบไปด้วย จังหวัดแพร่ น่าน พะเยา ลำพูน และเชียงใหม่ เพื่อช่วยทำให้เครื่องหมาย Flood Mark ปรับไปสู่รูปแบบความสูงที่อ้างอิงกับระดับน้ำทะเล สามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการน้ำร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ

และเมื่อเกิดฝนตกหนักและเสี่ยงน้ำท่วมขึ้นมาในอนาคต ข้อมูลชุดนี้จะถูกวิเคราะห์ร่วมกับแบบจำลองทางด้านอุทกวิทยา เพื่อสร้างแผนที่น้ำท่วมที่แสดงระดับความสูงของน้ำที่เข้าท่วมพื้นที่ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์และวางแผนป้องกันภัยล่วงหน้าในระดับพื้นที่ได้ต่อไป

สกสว.ชู งานวิจัยแก้ PM 2.5

ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า แม้จะมีความพยายามสนับสนุนการแก้ปัญหาฝุ่นด้วย ววน. หรือวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม มาโดยตลอด แต่ก็ยังมีดีมานด์จากหลายภาคส่วนที่ยังเป็นช่องว่างของการแก้ปัญหาและต้องการการสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การศึกษาและการแก้ปัญหา PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดทุติยภูมิ

เนื่องจากปัจจุบันการแก้ปัญหาจากแหล่งกำเนิด “ฝุ่นปฐมภูมิ” คือฝุ่นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเศษวัสดุเกษตร หรือฝุ่นจากไฟป่า แต่การศึกษาและแก้ไข “ฝุ่นทุติยภูมิ” จากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (502) ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOX) ก๊าซแอมโมเนีย (NH3) และกลุ่มก๊าซสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากการคมนาคม อุตสาหกรรม การเกษตร จากการปลดปล่อยของผืนป่าในธรรมชาติ หรือมหาสมุทรที่สามารถเคลื่อนตัวข้ามทวีปได้ ยังต้องการการศึกษาและพัฒนาเป็นมาตรการและข้อเสนอเชิงนโยบายต่อไป

“ในเดือนมกราคม 2568 นี้ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เตรียมติดตั้งอุปกรณ์ ACSM (Aerosol Chemical Speciation Monitor) ตรวจวัดองค์ประกอบทางเคมีของ PM 2.5 เพื่อแหล่งกำเนิด วิเคราะห์หาสาเหตุต้นตอของการเกิด PM 2.5 ประเดิมติดตั้ง 3 แห่ง คือ เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และสงขลา ภายในปี 2568”

นอกจากการใช้เทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาแล้ว ยังมีเป้าหมายการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัย เพื่อพัฒนานวัตกรรมเชิงสังคมและนโยบายเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาจากรากเหง้าด้วยการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรรวบรวมเศษวัสดุมาส่งต่อให้กลุ่มธุรกิจและได้ค่าตอบแทนที่คุ้มการลดต้นทุนเครื่องจักรขนาดเล็กสำหรับเกษตรกรรายย่อย การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในการขนส่งชีวมวล

และสุดท้ายการสานพลังประชาชนให้ตระหนักและเข้าใจรวมถึงยินดีซื้อสินค้าเกษตรจากแหล่งเพาะปลูกและปรับเปลี่ยนโครงสร้างการปลูกพืชให้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด การทำงานร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคมได้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในระบบวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ให้ร่วมแก้ปัญหาอย่างมีเป้าหมายและเป็นรูปธรรม มีการติดตามผลในแต่ละโครงการ

ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. กล่าวถึงปัญหาของภาคเหนือที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ฝุ่น PM 2.5 โดย สสน.ได้ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัด PM 2.5 ในสถานีโทรมาตรให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ภาคเหนือ

โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ที่จะสามารถทำให้ติดตามสถานการณ์ฝุ่นที่อาจเกิดขึ้นจากไฟป่าจากพื้นที่ป่าต้นน้ำได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนการขับเคลื่อนงานวิจัยภายใต้เครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย หรือ TNDR (Thai Network for Disaster Resilience) ข้อมูลจากเทคโนโลยีนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหา PM 2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ป่าต้นน้ำที่จะช่วยให้ควบคุมไฟป่าได้ตรงจุดมากขึ้น และมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือนำไปใช้ในการวางแผนฟื้นฟูและปรับปรุงมาตรการป้องกันในอนาคต ความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้นให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนและพร้อมรับมือภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน