
ยักษ์ธุรกิจไทยประกาศชิงไลเซนส์เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หวังร่วมเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะ “พัทยา-ภูเก็ต” บิ๊กเนมหลายรายสนใจ เลขาธิการนายกฯเผยตั้งเป้าใช้ที่ดินของรัฐเป็นหลัก เพราะกังวลเรื่องเอื้อผลประโยชน์หากใช้ที่เอกชน ชี้กาสิโนเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ 3-5% เท่านั้น หลัก ๆ จะเป็นโรงแรม ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก และศูนย์ประชุม พร้อมเผยเงื่อนไขชิงใบอนุญาต
ความคืบหน้าโครงการสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีผ่านร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. … และอยู่ในขั้นตอนส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสภาผู้แทนราษฎร โดยตั้งเป้าว่าต้องการให้ทุกขั้นตอนแล้วเสร็จภายในรัฐบาลนี้ และเริ่มตอกเสาเข็ม
รวมทั้งเปิดบริการได้ภายในปี 2573 หรือก่อนปี ค.ศ. 2030 ซึ่งสถานบันเทิงครบวงจรของญี่ปุ่น มีกำหนดเปิดให้บริการ โดยจุดหมายหลัก ๆ จากการสำรวจที่นักลงทุนสนใจ คือ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต
บิ๊กธุรกิจเปิดศึกชิงไลเซนส์
แหล่งข่าวจาก “ประชาชาติธุรกิจ” เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนใหญ่ของไทย ที่สนใจลงทุนทำโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หาพันธมิตรซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารรายใหญ่ในต่างประเทศ ซึ่งกาสิโนที่ทั่วโลกให้การยอมรับส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา
พื้นที่เป้าหมายที่กลุ่มทุนใหญ่ต้องการมี 3 พื้นที่ คือ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต โดยเฉพาะพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เพราะพัทยาเป็นเมืองไนต์ไลฟ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน
ร่วมกับยักษ์กาสิโนทั่วโลก
“กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ต่างไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะ 3 ยักษ์อันดับต้นหมายมั่นที่จะได้ใบอนุญาตของเมืองพัทยา แม้จะเคยเปิดโต๊ะเจรจาจะร่วมโฮลดิ้งกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ ที่สำคัญทั้ง 3 รายต่างวิ่งไปหาพันธมิตรที่ทำกาสิโนรายใหญ่อันดับต้นของโลก
อาทิ 1.แกแล็กซี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ (Galaxy Entertainment Group) 2.เอ็มจีเอ็ม ไชน่า (MGM China) 3.แซนด์ส ไชน่า (Sands China) และ 4.วินน์ มาเก๊า (Wynn Macau) เพื่อล็อบบี้ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการร่วมลงทุนครั้งนี้”
สำหรับกลุ่มทุนที่ปรากฏชื่อโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาทิ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ผู้รับสัมปทานสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โดยกลุ่ม UTA ประกอบด้วย บางกอกแอร์เวย์ส ถือหุ้นสัดส่วน 45%, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ถือหุ้น 35% และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) 20%
ที่ผ่านมากลุ่ม UTA มีแผนลงทุนโครงการขนาดใหญ่กับ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ซิตี้” ที่สนามบินอู่ตะเภา และแนวโน้มที่กลุ่มนี้ต้องการ เพราะหากไม่เกิดโครงการรถไฟความเร็วสูง หรือกว่าจะเกิดหากให้การรถไฟแห่งประเทศไทยลงทุนก่อสร้างอีกยาวนาน จึงต้องการดึงโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มาให้ได้ก่อน
ซี.พี.-ช้าง-เซ็นทรัลร่วมแจม
2.กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซี.พี. 3.กลุ่มสิริวัฒนภักดี โดยบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ภายใต้กลุ่มทีซีซี (TCC Group) ซึ่งปัจจุบันมีโครงการลงทุนในเมืองพัทยาจำนวนมาก ทั้งโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
4.กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งมีการลงทุนศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 และโครงการต่าง ๆ 5.กลุ่มเซ็นทรัล ของตระกูลจิราธิวัฒน์ และ 6.กลุ่มบริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ของตระกูลลิปตพัลลภ
กลุ่มพราวฯสนใจพัทยา-ภูเก็ต
แหล่งข่าวจากจังหวัดภูเก็ต เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ในจังหวัดภูเก็ตมีความเคลื่อนไหวชัดเจน โดยกลุ่มทุนที่มีการพูดถึงคาดว่าจะเป็น 1.กลุ่มบริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับนักการเมือง และกลุ่มทุนรายใหญ่ที่ทำห้างสรรพสินค้า 2.กลุ่มเฮียตือ นายสมบูรณ์ สุขเจริญไกลศรี ซึ่งเป็นทุนใหญ่คนไทยที่ไปลงทุนที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยพื้นที่เป้าหมายเป็นทางเหนือของเกาะภูเก็ต อ.ถลาง อยู่ระหว่างอ่าวปอและอ่าวกุ้ง ซึ่งมีที่ดินของภาครัฐหลายร้อยไร่
เชียงใหม่เห็นด้วยช่วยท่องเที่ยว
นางละเอียด บุ้งศรีทอง ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมรติล้านนา ริเวอร์ไซด์ สปา รีสอร์ท เชียงใหม่ และที่ปรึกษาคณะกรรมการสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า สถานที่ตั้งซึ่งทำเลที่มีความน่าสนใจ ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยานั้น ในฐานะเอกชนธุรกิจโรงแรม มองว่ารายได้ที่จะเกิดขึ้นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถือว่าดี
เพราะเป็นอีกหนึ่งรูปแบบในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เหมือนในหลายประเทศทั่วโลกที่ทำแบบถูกกฎหมาย อาทิ สิงคโปร์ ทำให้สามารถป้องกันการมอมเมาคนในสังคมไทยที่มีความอ่อนไหวได้
รัฐบาลชี้สร้างงานคนไทย
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรูปแบบการดำเนินโครงการว่ารัฐบาลจะเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลแข่งขันกัน โดยต้องมีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจบันเทิง เพื่อให้โครงการสามารถเกิดขึ้นจริง เบื้องต้นอาจแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็นเฟส ๆ เฟสแรกคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท สามารถจ้างงานคนไทยระหว่างงานก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคน
รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 119,000-238,000 ล้านบาท อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจโรงแรมก่อนเพื่อดึงดูดคนเดินทางเข้ามาพักผ่อนก่อน จากนั้นจะตามมาด้วยห้างสรรพสินค้า และธุรกิจอื่น ๆ
เน้นสร้างบนที่ดินรัฐก่อน
“ผมขอย้ำว่า เงื่อนไขการลงทุนนั้นจะเป็นการก่อสร้างใหม่ในพื้นที่ใหม่ เน้นเป็นพื้นที่ของรัฐมีขนาดที่ดินหลักร้อยไร่ขึ้นไป มีทั้งโรงแรม สวนสนุกขนาดใหญ่ ศูนย์ประชุมนานาชาติ และจัดคอนเสิร์ตได้ตลอดทั้งปี หรือกิจกรรมอื่น ๆ ขณะที่ส่วนของกาสิโนนั้นมีเพียง 3-5% เท่านั้น
นายแพทย์พรหมินทร์กล่าวอีกว่า การลงทุนแต่ละแห่งใช้เงินมากกว่า 1 แสนล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 3-5 ปี โดยปีที่ 3 คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายจะให้เปิดบริการภายในปี 2572 ก่อนที่ศูนย์เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในเมืองโอซากาจะเปิดบริการในปี 2573
เงื่อนไขการยื่นประมูล
เมื่อถามว่าหากเอกชนสนใจเสนอพื้นที่จะได้หรือไม่ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า เบื้องต้นอยากให้ใช้ที่ดินของรัฐมากกว่า เพราะไม่ต้องการถูกครหาเรื่องเอื้อผลประโยชน์ สำหรับรูปแบบการลงทุนนั้น จะเป็นลักษณะการร่วมลงทุนของบริษัทต่างชาติและคนไทย ซึ่งในส่วนของคนไทยนั้นเชื่อว่ามีหลายรายสนใจ
โดยรัฐจะเปิดประมูล รายใดยื่นข้อเสนอผลตอบแทนให้รัฐสูงสุด หรือมีข้อเสนอเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของโครงการ รายนั้นจะมีโอกาสได้รับการคัดเลือก และเชื่อว่าโครงการจะดำเนินการได้รวดเร็ว เพราะเป็นการลงทุนของเอกชน จึงต้องการรีบเปิดเพื่อได้ผลตอบแทนกลับคืนเร็วที่สุด
เพิ่มรายได้พัฒนาประเทศ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ 12,037-39,427 ล้านบาทต่อปี รายได้จากกิจการกาสิโน เช่น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ภาษีการเล่นพนันขั้นต่ำ 3,264 ล้านบาทต่อปี รายได้ภาษีจากกิจการอื่น ๆ เช่น โรงแรม 5 ดาว สวนสนุก 8,773-35,093 ล้านบาทต่อปี
ทำให้สามารถนำรายได้ไปใช้พัฒนาประเทศ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานประเทศ ระบบดูแลสังคม ระบบการศึกษาและการสร้างสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย เพราะแค่การลงทุนในเฟสแรก มูลค่าราว 1 แสนล้านบาท คาดว่าช่วยผลักให้จีดีพีไทยโตเพิ่มขึ้น 0.2% และหากเปิดบริการได้ครบทั้ง 100% คาดว่าจะช่วยดันให้จีดีพีประเทศเพิ่มขึ้นได้ราว 0.7%