
ครบรอบ 1 ปีที่จังหวัดสระบุรี รุกทำ “โครงการสระบุรีแซนด์บอกซ์” เพื่อเป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศตามนโยบายรัฐบาล
ก้าวแรกสระบุรีแซนด์บอกซ์
สระบุรีแซนด์บอกซ์ เป้าหมายทยอยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปี 2567 ให้ได้ 3.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปี 2568 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปี 2569 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 4.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปี 2570 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมพลังสร้างเมืองคาร์บอนต่ำ
นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัด เปิดเผยว่า จังหวัดสระบุรีมีผู้ประกอบธุรกิจที่หลากหลาย เป็นเมืองหลวงของอุตสาหกรรมการก่อสร้างเรื่องโรงโม่ และเรื่องพลังงานต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดในเรื่องคาร์บอนสูง ดังนั้น สระบุรีจึงถูกกำหนดให้เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย จึงได้ร่วมกันทำ “โครงการสระบุรีแซนด์บอกซ์” ขึ้นมา ครบ 1 ปีแห่งความร่วมมือ ร่วมเร่ง เปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ นำร่องพัฒนา 5 ด้านเด่น พร้อมเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ถ้าทำสำเร็จจะขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นต่อไป
“ในรอบ 1 ปี ทีมสระบุรีแซนด์บอกซ์ได้ดำเนินการขับเคลื่อนไปกว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ก็ผ่านสถานการณ์ตบจูบ ทั้งบทบู๊ บทบุ๋น ดราม่า มีการเล่นบทมาร เล่นบทพระก็ว่ากันไป เมื่อทะลุทะลวงผ่านมาถึงวันนี้ครบ 1 ปี ถือว่าการขับเคลื่อนก็ผ่านมาได้เกินความคาดหวัง
จากนี้ไปทุกภาคส่วนต้องมาช่วยกันทำงานสระบุรีแซนด์บอกซ์ ซึ่งเปรียบเสมือนห้องทดลอง เพราะยังไม่มีจังหวัดใดทำมาก่อน ทุกอย่างสามารถนำมาทดลองที่สระบุรีได้หมด แล้วมาดูว่าติดข้อจำกัดในทางกฎหมายอะไร ติดข้อจำกัดในเรื่องวิธีการอะไร ก็เอาตัวข้อจำกัดไปแก้ไข” นายบัญชากล่าว
ผนึกรัฐ-เอกชนไทย-เทศหนุน
โดยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ทำงานบูรณาการร่วมกัน โดยมีโครงการหลักที่ดำเนินการไปตลอด 1 ปีผ่านมา เช่น
1.เปลี่ยนสระบุรีสู่พลังงานสะอาด (Energy Transition) โดยดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้แก่
ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Princeton สหรัฐอเมริกา จัดทำ Energy Roadmap ของจังหวัด
ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ติดตั้งโรงจอดรถหลังคาโซลาร์เซลล์ (Solar Carport) ลดค่าไฟฟ้าได้ 150,000 บาทต่อปี
ขยายความร่วมมือกับภาครัฐ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมธนารักษ์ และกรมชลประทาน เปลี่ยนพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ด้านพลังงาน
ทีมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อยู่ระหว่างสำรวจศักยภาพ ศึกษา และประเมินความเป็นไปได้ในการติดตั้งโครงการ Solar Floating อ่างเก็บน้ำคลองเพียว ซึ่งจะสรุปผลการศึกษาภายในเดือนเมษายน 2568 หากมีความเป็นไปได้จะเดินหน้าผลิตพลังงานไฟฟ้าประมาณ 5-10 เมกะวัตต์ (MW) ส่วนราชการในจังหวัดจะได้นำไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในส่วนนี้ไปใช้
ส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน หญ้าเนเปียร์ 4,800 ตันต่อปี แปรรูปเป็นพลังงานทดแทน CO2 5,788 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และสร้างรายได้ให้เกษตรกร เกิดกิจการเพื่อสังคม โดยรับการสนับสนุนทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
2.การจัดการของเสีย (Waste to Value) รวมพลัง 18 หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคีเครือข่าย และสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดสระบุรีสู่เมืองคาร์บอนต่ำ ด้านการจัดการของเสีย โดยปี 2567 สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 378,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
เปลี่ยนขยะให้มีมูลค่า ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีจาก “โครงการตาลเดี่ยวโมเดล” มาประยุกต์ใช้ ขับเคลื่อนธนาคารขยะ ภายใต้นโยบายกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมให้ประชาชนคัดแยกขยะในครัวเรือน สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ 3,295 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รายได้คืนท้องถิ่น 9 แสนกว่าบาท
Regenerative Model โมเดลต้นแบบการบริหารจัดขยะมูลฝอย นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมแก้ปัญหาขยะมูลฝอยแบบครบวงจรอย่างยั่งยืน สร้างมูลค่าให้กับขยะ คืนคุณค่าสู่สังคม นำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงทดแทน ทดลองทำ Biochar เพื่อกักเก็บคาร์บอน และทำคาร์บอนเครดิต
3.ส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (IPPU) โดยผลักดันการใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ หรือปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก (Hydraulic Cement) ที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิต ในการโครงการก่อสร้างของภาครัฐให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทดแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ได้มากกว่า 80% ภายในปี 2024 ทั้งนี้ การใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก 20 ตัน เท่ากับลดก๊าซเรือนกระจกได้ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ศึกษาการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ประโยชน์ครั้งแรกในอุตสาหกรรมซีเมนต์ด้วยเทคโนโลยีการดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) ได้รับการสนับสนุนทุนจากรัฐบาลแคนาดา ภายใต้การผลักดันขององค์กรซีเมนต์และคอนกรีตระดับโลก (Global Cement and Concrete Association : GCCA) และองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี
4.ส่งเสริมเกษตรคาร์บอนต่ำสร้างต้นแบบนาเปียกสลับแห้ง ตั้งเป้าขยายพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ 3,000 ไร่ในปี 2570 โดยปี 2567 ทำได้ 500 ไร่ ปี 2568 จะเพิ่มเป็น 1,000 ไร่ ปี 2569 เพิ่มเป็น 2,000 ไร่ ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 840 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
เช่น การผลิต “ข้าวรักษ์โลกสระบุรี เป็นข้าวซ้อมมือ กข69 ทับทิมชุมแพ” เป็นการเพิ่มมูลค่าข้าว เพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
5.การเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Green Space) อนุรักษ์พื้นที่ป่ามากกว่า 5 แสนไร่ สร้างเครือข่าย และยกระดับป่าชุมชน จังหวัดสระบุรี 38 แห่ง 15,000 ไร่ โครงการปลูกป่าทีพีไอโพลีน ลดร้อน รักษ์โลก, โครงการเคมีแมน ปลูกป่าสร้างครัว ทำนา และป้องกันไฟป่า, โครงการซีพีเมจิ รักษ์ป่า รักษ์น้ำ และโครงการเอสซีจี สร้างฝาย และปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว, โครงการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมกว่า 1 แสนไร่ และการปลูกป่าในพื้นที่ ส.ป.ก. วัด โรงเรียน และที่ดินเอกชน รวมกว่า 1 หมื่นไร่
เปิดศูนย์ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้บริการผ่านห้องสมุดออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง เพื่อดูแลป่า และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากป่า ส่งเสริมการเรียนรู้และตระหนักรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในเยาวชน ต่อยอดถึงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจังหวัดสระบุรี และสระบุรีแซนด์บอกซ์ได้ เช่น โครงการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย วิสาหกิจชุมชนด้วย Soft Power พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากภาคเอกชน ภายใต้การนำของสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี
ลดคาร์บอน 5 ล้านตันปี’70
นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายปี 2568 สระบุรีพร้อมเป็นจังหวัดนำร่องในการทดลองเทคโนโลยี นวัตกรรม รูปแบบการบริหาร การจัดการ การศึกษาวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ โดยนำการทดลองเหล่านี้ไปดำเนินการและขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นได้ด้วย
ทั้งนี้ ปี 2568 สระบุรีตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2570 หรือเฉลี่ยปีละ 5 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ตัวนี้เป็นสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต สำคัญคือ ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน มีกิน มีใช้ มีรายได้ และคุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วย นี่คือเป้าหมายสูงสุดของการทำเรื่องสระบุรีแซนด์บอกซ์ และเรื่องคาร์บอนเอ็นเนอร์ยี่ จังหวัดสระบุรีจะเป็นต้นแบบ เป็นห้องทดลองให้จังหวัดอื่นที่อยากจะทำให้เห็นว่าทุกจังหวัดสามารถทำได้
โดยใช้การพัฒนารูปแบบความร่วมมือ การทำงานเชิงพื้นที่ (Area Based) โดยใช้แนวทาง 3C (Consistency, Communication, Calm) และ 3P (Private, Public, People) เพื่อขับเคลื่อน “สระบุรีแซนด์บอกซ์”
เร่งเปลี่ยนพลังงานสะอาด เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนในทุกภาคส่วน ถ้าสระบุรีทำได้ จังหวัดอื่นก็ทำได้