
ผู้ส่งออกยางใต้โอดน้ำยางหายไป 70% เหตุฝนตกชุก โรคใบร่วง กระทบโรงงานอุตสาหกรรมยางขาดวัตถุดิบปิดตัว พร้อมจับตามาตรการภาษี “โดนัลด์ ทรัมป์” กระทบตลาดค้ายาง เหตุตลาดหลักยางไทย ส่งไปขายโรงงานแปรรูปล้อยางในจีน ขณะเดียวกัน อัตราแลกเปลี่ยนฉุดราคาลง
นายกัมปนาท วงศ์ชูวรรณ ผู้จัดการ กลุ่มเกษตรกรทำสวนธารน้ำทิพย์ สถาบันเกษตรแปรรูปยางพาราภาคใต้เพื่อส่งออกรายใหญ่ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดโลกยังมีความต้องการยางพาราสูง แต่ตลาดการค้าค่อนข้างท้าทาย และลำบากมาก
สำหรับประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ทั้งประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เนื่องจากตลาดรับซื้อในต่างประเทศราคาค่อนข้างผันผวน หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะจะมีนโยบายเกี่ยวกับมาตรการภาษีจะส่งผลต่อราคายางด้วย เพราะยางของไทยตลาดหลักส่งไปยังประเทศจีน และประเทศจีนแปรรูปล้อยางส่งออกต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐ แคนาดา ฯลฯ ขณะเดียวกันอัตราแลกเปลี่ยนฉุดราคาลงมาด้วย
“ตอนนี้ตลาดจีนปิดการรับซื้อขาย ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมไปจนถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เกือบ 15 วัน เนื่องจากเทศกาลตรุษจีน ตลาดจีนส่งผลให้ราคายางผันผวนและอยู่ในช่วงราคาขาลง ราคาหน้าโรงงานยางจะไม่เป็นไปตามราคาประกาศของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)” นายกัมปนาทกล่าวและว่า
นายกัมปนาทกล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ในตลาดโลกยังมีความต้องการยางสูง มีปริมาณเท่าไหร่ก็จำหน่ายหมดไม่เหลือ แต่ปริมาณน้ำยางที่กรีดได้ภายในประเทศไทยตอนนี้ลดน้อยลง จากปัจจัยยางไม่สามารถกรีดได้ตามเป้าหมาย เพราะก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมา ส่งผลให้น้ำยางสดทางภาคใต้หดหายไปถึง 60-70% ส่งผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา ตอนนี้มีปิดโรงงานไปจำนวน 1 แห่ง ส่วนที่เหลือประคับประคองกันไปในระดับหนึ่งและมีการพักงานคนงาน กำลังซื้อที่ถดถอยลงมาส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าสินค้าอุปโภคบริโภค
“ตอนนี้อาชีพคนทำสวนยางพาราในภาคใต้ค่อนข้างจะยากลำบาก ปัจจัยสำคัญสุดคือสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเกิดฝนตกชุก เกิดโรคใบร่วงเชื้อรา จนส่งผลให้แรงงานขาดแคลนทิ้งสวนยางเป็นป่ารกร้าง เพราะรายได้ไม่พอต่อรายจ่ายโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเฉพาะ อ.เบตง จ.ยะลา ฯลฯ จะมีการปล่อยทิ้งสวนยางให้รกร้างถึง 60-70% เพราะจากสภาพภูมิอากาศฝนตกชุกกรีดยางได้ไม่เต็มที่ 1 ปีมี 365 วัน แต่สามารถกรีดประมาณ 80-120 วันต่อปี ต่างกับ จ.พัทลุง นครศรีธรรมราช จ.สงขลา ฯลฯ ที่สามารถกรีดได้ถึง 150-250 วันต่อปี”
นายกัมปนาทกล่าวต่อไปว่า ประเด็นฝนตกชุกเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะส่งผลต่อการประกอบอาชีพโดยตรง ทางแก้สามารถทำได้คือทำสวนยางกางร่ม แต่จะต้องใช้ต้นทุนอุปกรณ์จะมีต้นทุน 20-40 บาท/ต้น พอจะสามารถกรีดยางได้แม้ว่าจะเกิดฝนตกชุกก็ตามในภาคใต้ ยกเว้น อ.เบตง จ.ยะลา ฯลฯ เนื่องสภาพอากาศเย็นชื้นหน้ายางจะเปียก หากกรีดจะส่งผลให้ยางได้รับความเสียหาย
ทางด้านผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวเจ้าของโรงแรมเปิดเผยว่า ทางภาคใต้ถือว่าเป็นเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่คือยาง เมื่อยางราคาดีและได้กรีดตามเป้าหมาย จะส่งผลต่อกำลังซื้อส่งผลให้เศรษฐกิจการค้าบริโภคอุปโภคคึกคักมาก แต่เมื่อยางไม่ได้กรีดตามเป้าหมาย ก็จะส่งผลต่อรายได้ชาวสวนยางซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ทำให้กำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยอ่อนตัวลงมามาก ก็จะส่งผลกระทบเป็นภาพรวมทางเศรษฐกิจการค้า
เจ้าของสวนยาง บ้านควนอินนอโม หมู่ 7 ต.ตะโหมด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เกษตรกรอาชีพสวนยางมีปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบหนักคือสภาพภูมิอากาศ เช่น ฝนตกชุก ร้อนจัด ฝนตกชุกไม่สามารถกรีดยางได้ตามเป้าหมาย แล้งจัดน้ำยางสดหดหายไปกว่าครึ่ง
“1 ปี 365 วันปัจจุบันกรีดยางได้จริงประมาณ 100 วัน เนื่องจากมีฝนมากกว่าแล้ง หรือเรียกได้ว่า ฝน 8 แดด 4 การกรีดยางได้ 100 วัน ที่จะสามารถดำรงชีพอยู่ได้ต้องราคา 80-100 บาท/กก. ซึ่งราคายาง 80-100 บาท เคยมีมาก่อน ซึ่งขณะนั้นชาวสวนยางพอมีเงินเหลือบ้าง แต่สภาพปัจจุบันชาวสวนยางจะต่างกันมาก และเพื่อให้ชาวสวนยางอยู่ได้ ก็จะต้องมีงานผสมผสานเสริมซึ่งกันและกัน จะประกอบอาชีพสวนยางเพียงอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว”