
“ปาล์มน้ำมัน” ภาคใต้ ราคาร่วงหนัก จาก 10 บาทเหลือ 4 บาท หลังผลผลิตออกสู่ตลาดมาก สภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุงร้องสภาเกษตรกรแห่งชาติชงนายกรัฐมนตรีเสนอมาตรการประกันราคาขั้นต่ำ 8 บาท/กก.
นายโอภาส หนูชิต สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง เจ้าของสวนปาล์มน้ำมัน จ.พัทลุง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผลผลิตราคาสินค้าเกษตรหลายตัวตกต่ำกว่าต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงมากตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากราคาประมาณ 9-10 บาท/กก.
ล่าสุดได้ปรับลงเหลือ 4 บาท/กก. ดังนั้น ทางสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุงได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อให้ผลักดันนำเสนอเรื่องไปถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีนโยบายเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยกำหนดมาตรการประกันราคาขั้นต่ำในการจำหน่ายสินค้าเกษตร เช่น ปาล์มน้ำมัน ต้องการให้ประกันราคาที่ 8 บาท/กก. ซึ่งหากราคาไม่ถึง 8 บาท/กก. รัฐบาลจะต้องจ่ายชดเชย เพื่อไม่ให้ราคาตกต่ำกว่าราคาทุน ทั้งนี้ คาดว่าจะนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้ทันในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 29 เมษายน 2568
โดยเนื้อหาในหนังสือได้ระบุว่าทางสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรและกลุ่มองค์กรเกษตรกร ให้มีการเร่งแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตการเกษตรเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าว และทางด้านปศุสัตว์ ที่มีราคาผันผวนตกต่ำเช่นกัน โดยมีข้อเสนอว่าให้ภาครัฐได้มีมาตรการดำเนินการช่วยเหลือเพื่อให้สินค้าเกษตรนั้นมีเสถียรภาพและยังจะส่งเสริมให้สินค้าเกษตรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและขายสินค้าได้ในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งจะสร้างความเข้มแข็งและมีความยั่งยืนให้กับภาคการเกษตร
จึงขอเสนอ 1.รัฐบาลกำหนดราคาขั้นต่ำ (Price Floor) ผลผลิตการเกษตรเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาเกษตรต่ำกว่าต้นทุนและถูกกดราคาต่ำกว่าต้นทุน จากภาวะตลาดที่ผันผวน โดยเสนอให้ประกันราคาขั้นต่ำในการจำหน่ายสินค้าการเกษตร ประเภทข้าวตามสายพันธุ์ในราคาขั้นต่ำสุดที่ 15 บาท/กก. ยางพาราขั้นต่ำสุด 80 บาท/กก. ปาล์มน้ำมัน 8 บาท/กก. และในส่วนการเกษตรประเภทปศุสัตว์นั้น โดยโคเนื้อราคาขั้นต่ำสุด 100 บาท/กก. แพะเนื้อ 80 บาท/กก. และสุกรขุน 80 บาท/กก.
สภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุงยังเสนออีกว่า รัฐบาลจะต้องให้การอุดหนุนแก่เกษตรกรหรือผู้ผลิต ทั้งนี้ เพื่อจะได้ช่วยลดต้นทุนทางด้านการผลิต และยังจะสามารถช่วยรักษาเสถียรภาพราคาของผลผลิตเกษตรอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่เกษตรกรประสบกับต้นทุนสูง หรือราคาตกต่ำ และรัฐบาลจะต้องซื้อผลผลิตเกษตรจากเกษตรกรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการล้นตลาดหรือสินค้ามีราคาต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งจะได้ช่วยรักษาความเสถียรของราคาผลผลิต
อีกทั้งรัฐบาลจะต้องส่งเสริมการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเพิ่มความต้องการในตลาดต่างประเทศ และสร้างเสถียรภาพตลาดภายในประเทศโดยต้องมีการจัดตั้งตลาดกลาง เพื่อให้มีช่องทางในการจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม และยังจะสามารถขยายตลาดได้ โดยตลาดกลางสามารถเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรกับผู้ค้าส่ง หรือผู้บริโภคโดยตรง และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้อย่างทั่วถึง
นายสุภาพ มุสิกะศิริ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง เปิดเผย“ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตามที่สภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงและทางสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อให้ผลักดันถึงรัฐบาลให้ช่วยเหลือเรื่องปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว และภาคปศุสัตว์ โดยให้รัฐบาลทำการค้ำประกันราคาข้าวที่ 15 บาท/กก. ยาง 80 บาท/กก. และปาล์มน้ำมัน 8 บาท และโคเนื้อ 100 บาท/กก. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาเกษตรกรแห่งชาติถึงต้นทุนการผลิตของแต่ละพืช เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะรอบด้าน เมื่อได้ข้อยุติก็จะนำเสนอรัฐบาลต่อไป
“ตามขั้นตอนเมื่อเกษตรกรภายในจังหวัดร้องเรียนมา ทางสภาเกษตรกรจะพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านถึงการผลิต การตลาด หลังจากนั้นจะนำเสนอต่อสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อดำเนินการยื่นถึงรัฐบาลต่อไป”