
กรรมาธิการฯเตรียมชงแผนตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคอีสาน เสนอ ครม.สัญจร เผยจีดีพีไทยติดหล่มโตต่ำ ขนาด EEC ยังช่วยดันไม่ไหว จำเป็นต้องทำเขต ศก.พิเศษเพิ่ม ให้สิทธิประโยชน์เหมือนบีโอไอ เล็งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุน 1 ล้านล้าน ปูพรมเข้าอีสาน-เหนือ เน้นอุตฯไฮเทค ซอฟต์พาวเวอร์ อุตฯเกษตรแปรรูป มั่นใจสร้างพายุหมุน สร้างงาน 3-5 แสนอัตรา
นายธัชพล กาญจนกูล ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ เขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาโครงการที่สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติที่มีผลต่อการสร้างความมั่นคงในชีวิตของประชาชนและประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาแนวทาง “โครงการจัดตั้งสำนักงานเขตเศรษฐกิจใหม่แห่งชาติ” ขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)
เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการขยายตัวของประเทศ รวมทั้งพัฒนาความเจริญในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดนครพนม ในวันที่ 28-29 เมษายน 2568 นี้ โดย สส.ในพื้นที่จะเป็นผู้เสนอ
ต้องมีเขตเศรษฐกิจใหม่ดันจีดีพีโต
วัตถุประสงค์เนื่องจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับต่ำมาเป็นระยะเวลาร่วม 10 ปี เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้ในระยะที่ผ่านมาจะมีโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาแล้วหลายโครงการ อย่างเช่น EEC แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมายทั้งในภาพรวมและในระดับพื้นที่ ประกอบกับมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง
ทำให้ประเทศต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ให้มีการลงทุนในพื้นที่ เพื่อให้มีการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีศักยภาพสูงในการขยายตัวจากการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน มีจำนวนประชากรและผู้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก
แต่มูลค่าผลิตภัณฑ์ประชาชาติในพื้นที่ (GDP) ยังอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ที่สำคัญเขตพิเศษทางการค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่มีส่วนสร้างในการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศได้เท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องมีการขยายเขตเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคได้อย่างเข้าถึง
มุ่งเป้าอุตฯไฮเทค-อุตฯเกษตร
จึงเสนอการจัดตั้งในรูปแบบกระจายพื้นที่ หรือ “แบบดาวกระจาย” ไปยังบริเวณพื้นที่ทุกจุดที่มีศักยภาพสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพื้นที่ทั่วทั้งประเทศที่มีความพร้อมอย่างภาคเหนือ และมีความต้องการของพื้นที่ (On Demand) โดยไม่กำหนดเฉพาะเจาะจงเป็นรายจังหวัดตามรูปแบบเดิม และมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลายกลุ่ม
ได้แก่ กลุ่มด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ AI, ดิจิทัล กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์, อัตลักษณ์ไทย, วัฒนธรรมไทย กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า และกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร, ปศุสัตว์ และอาหารแปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้จะมีการพัฒนาทักษะแรงงานของประชาชนในพื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญควบคู่ไปด้วย
“เศรษฐกิจมันจะโตได้ ต้องมีการลงทุนเพราะมันคือส่วนหนึ่งในการดัน GDP แต่พื้นที่ที่เรามีอยู่อย่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มันไม่เพียงพอ ต้องขยายเพื่อหาพื้นที่ใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อดึงทั้งการลงทุนจากต่างประเทศ และให้ในพื้นที่มีการลงทุนเติมเข้ามา”
ออกกฤษฎีกาให้อำนาจเบ็ดเสร็จ
สำหรับรูปแบบโครงสร้างของสำนักงานเขตเศรษฐกิจใหม่แห่งชาติ ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายขึ้นมาใหม่เหมือน EEC แต่จะเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ทั้งเป็น Facilitator และ Operator ซึ่งอาจใช้รูปแบบการจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และความชัดเจนในขั้นตอนการบังคับใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น การกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตต่าง ๆ การอนุมัติโครงการต่าง ๆ การจัดหาแหล่งเงินทุน/ระดมทุน และสนับสนุนโครงการโดยร่วมลงทุนได้
นอกเหนือจากการประสานงานในการของบประมาณจากภาครัฐ รวมไปถึงการกำหนดสิทธิประโยชน์โครงการเป็นแบบ Standard Intensive+Extra ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งจะมีการทำงานที่ใกล้ชิดและสอดคล้องกันเพื่อลดความสับสนของนักลงทุน และเป็นการบริการในระดับการพัฒนาพื้นที่ให้กับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยมีขอบเขตอำนาจครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ในทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นการค้า การลงทุนในทุกพื้นที่ที่มีความพร้อมให้เกิดความตื่นตัว และขยายตัวในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ที่จะส่งผลต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่ารูปแบบของเขตเศรษฐกิจใหม่ดังกล่าวจะสามารถสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจจากการลงทุนได้ประมาณ 1.5-2 เท่าของจำนวนเงินลงทุน
เล็งเป้าเม็ดเงินลงทุน 1 ล้านล้าน
โครงการเขตเศรษฐกิจใหม่แห่งชาติ จะเป็นโอกาสและความหวังใหม่ของประชาชน และประเทศที่จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและจุลภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าในด้านการจ้างงาน 300,000-500,000 อัตรา จากการลงทุนกว่า 500,000-1 ล้านล้านบาท ในพื้นที่ใหม่บนเขตเศรษฐกิจทั่วประเทศกว่า 50 เขต เกิดพื้นที่ใหม่ พื้นที่ทำกินประกอบอาชีพกว่า 100,000 ไร่ สร้างรายได้แก่ประชาชนเพิ่มมากขึ้นกว่า 20% ในทุกพื้นที่ที่มีการพัฒนาเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของประเทศเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่กำหนด และทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้น สรุปได้ว่าการขับเคลื่อนโครงการเขตเศรษฐกิจใหม่ตามรูปแบบดังกล่าว จะสามารถส่งผลให้พื้นที่ที่มีศักยภาพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้รับการพัฒนาให้เกิดความเจริญจากนักลงทุน สามารถประหยัดงบประมาณจากภาครัฐได้มากกว่า 80%
ทั้งนี้ โครงการเขตเศรษฐกิจใหม่นี้หากได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการ ในระยะแรกคาดว่าจะมีโครงการนำร่องในพื้นที่ต่าง ๆ ในภาคเหนือ 10 โครงการ และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 10 โครงการเป็นอย่างน้อย ทั้งโครงการเทคโนโลยีโดรน ศูนย์ปศุสัตว์โลก เกษตรแปรรูป (ดอยคำ) ผลิตภัณฑ์จากหญ้าเนเปียร์เพื่อการก่อสร้าง เป็นต้น มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท