
รถขนทุเรียนไทยติดด่านจีน 500 คัน ทำราคาดิ่ง เจ้าสัวตระกูลดังเร่ขาย “สติ๊กเกอร์” ฝ่าด่านได้
ขณะนี้ปัญหารถขนส่งทุเรียนไทยติดที่หน้าด่านจีนวันละ 500 ตู้เริ่มขึ้นแล้ว อย่างที่หลายคนกังวล เมื่อก้าวเข้าสู่ต้นเดือนพฤษภาคม 2568 เนื่องจากสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ยังตรวจเข้ม 100% ต้องไม่ให้มีการปนเปื้อนสารย้อมสี (Basic Yellow 2) หรือ BY2
ขณะที่กรมวิชาการเกษตรรายงานสถิติการส่งออกทุเรียนของไทยไปประเทศจีน ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ นับตั้งแต่วันที่ 1-3 พฤษภาคม 2568 เฉลี่ยวันละ 498-630 ตู้ คิดเป็นปริมาณผลผลิต ประมาณ 10,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทต่อวัน
สติ๊กเกอร์ CCIC ได้ผลจริง
แหล่งข่าวจากวงการส่งออกทุเรียน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหาตู้ติดที่ด่านจีนใช้ระยะเวลานาน ประสบกับความเสียหายมาก ดังนั้นเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน 2568 “บริษัท CCIC (ประเทศไทย) จำกัด” เสนอขายสติ๊กเกอร์สีเขียว QR Code ทุเรียน ราคา 5,000 บาทต่อตู้ต่อแผ่น
เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผ่านเข้าด่านจีนได้รวดเร็วขึ้น เป็น Fast Track เลน มีผู้ประกอบการบางรายซื้อสติ๊กเกอร์ไปใช้ และล่าสุดแจ้งว่า ได้รับความสะดวกผ่านด่านโหย่วอี้กวน Bypass ได้จริง โดยไม่ต้องรอคิว แต่ยังมีการตรวจ BY2 เข้มตามกระบวนการเหมือนเดิม
“ก่อนหน้านี้ช่วง COVID-19 บริษัท CCIC อ้างว่าสามารถประสานกับหน่วยงาน GACC อำนวยความสะดวกให้การนำเข้าได้รวดเร็วขึ้นแบบสิทธิพิเศษ โดยเปิดสำนักงานที่จังหวัดจันทบุรี แต่ครั้งนั้นสติ๊กเกอร์ใช้ไม่ได้ผล ทำให้ครั้งนี้เมื่อ CCIC มาเสนอขาย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงไม่ให้ความเชื่อถือ แต่ผู้ประกอบการบางรายเห็นว่าปัญหา BY2 ไม่ได้รับการแก้ไข และมีความเดือดร้อนมาก จึงใช้บริการโดยไม่คิดถึงปัญหาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกตู้ละ 5,000 บาท เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากปัญหาการตรวจ BY2 มีจำนวนมากอยู่แล้ว” แหล่งข่าวกล่าว
ทุเรียนราคาร่วงหนัก
ที่สำคัญรถที่ติดค้างหน้าด่านจำนวนมาก ทำให้เกิดผลกระทบมากมาย เช่น 1.ตู้คอนเทนเนอร์วนกลับมาไม่ทัน ล้งหยุดรับซื้อ ทำให้ราคาทุเรียนดิ่งลงทุกวัน จากปัจจุบันราคาประมาณ 125-130 บาท/กก. ทิศทางราคาคาดว่าอาจจะดิ่งกว่า 100 บาท/กก. ขณะที่ฝ่ายชาวสวนคิดว่าล้งเล่นเกมกดราคา จึงชวนกันหยุดตัดทุเรียน เพื่อดึงให้ราคาขึ้น
ตระกูลดังถือหุ้น CCIC
สำหรับบริษัท ซี ซี ไอ ซี (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นจดทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2530 ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 22 ซอยพิพัฒน์ 2 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. โดยมีบริษัท ไชน่า เซอร์ติฟิเคชั่น แอนด์ อินสเปคชั่น (กรุ๊ป) จำกัด หรือ China Certification & Inspection Group (CCIC) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 149,044 หุ้น ซึ่ง CCIC ของจีนถือเป็นองค์กรตรวจสอบและรับรองแห่งชาติจีน มีคณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารทรัพย์สินแห่งรัฐภายใต้ “รัฐสภาจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่”
ส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลือประกอบด้วย
1.บจ.เอ็ม.ไทยกรุ๊ป ของตระกูลวีระเมธีกุล ถือหุ้น 15,208 หุ้น
2.นายสุชัย วีระเมธีกุล ถือหุ้น 30,416 หุ้น
3.บจ.นำทรัพย์ โฮลดิ้ง ของตระกูลบุญนำทรัพย์ ถือหุ้น 30,416 หุ้น
4.นางประภา วิริยประไพกิจ อดีตผู้บริหารเครือสหวิริยา และเครืออินโดไชน่ากรุ๊ป (เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2557) ถือหุ้น 12,166 หุ้น
5.นายธนากร เสรีบุรี ถือหุ้น 8,000 หุ้น
6.นายฉัตรชัย วีระเมธีกุล ถือหุ้น 4,562 หุ้น
7.น.ส.วไลพร บุนนาค ถือหุ้น 4,562 หุ้น
8.นายธฤต โอภาสวงศ์ ถือหุ้น 7,626 หุ้น
9.นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ อดีตนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ถือหุ้น 7,600 หุ้น
10.นางศิริกุล โอภาสวงศ์ ถือหุ้น 7,600 หุ้น
11.นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ ถือหุ้น 7,600 หุ้น
12.นางศิริพร โอภาสวงศ์ ถือหุ้น 7,600 หุ้น
13.นายชูชัย โอภาสวงศ์ ถือหุ้น 7,600 หุ้น
เกษตรฯไม่หนุนสติ๊กเกอร์
รายงานข่าวจากกรมวิชาการเกษตรได้แจ้งยืนยันว่า การใช้สติ๊กเกอร์ QR Code ไม่ใช่มาตรการและแนวปฏิบัติของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ไม่มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ QR Code
และถือเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการ จึงขอเตือนเกษตรกรทุกคนอย่าไปหลงเชื่อ