วังวน ‘ส่วย’ แรงงานข้ามเขต ผลประโยชน์สะพัดฤดูผลไม้ตะวันออก

pca_Cover_photo

“ปัญหาแรงงาน ม.64” มอบกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานความมั่นคง ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสม ในการออกใบอนุญาตทำงาน เพื่อให้แรงงานสามารถทำงานข้ามจังหวัดได้ ภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด โดยมีมาตรการควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างชัดเจน มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีรับไม้ต่อ…” 1 ใน 7 ข้อสั่งการของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ลงพื้นที่ จ.จันทบุรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 และมีข้อสรุปว่าทุกอย่างได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องแล้ว รอนำเข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติ

ปมสวน-ล้งผลไม้ขาดแรงงาน

ตาม ม.64 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 อนุญาตให้มีการนำเข้าแรงงานมาทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาล แบบไป-กลับช่วงระหว่าง 3-6 เดือนได้

ที่ผ่านมา “ล้งผลไม้” มีความต้องการใช้แรงงานมาเก็บเกี่ยวผลไม้จำนวนมาก ประเมินว่า เฉพาะ จ.จันทบุรีกว่า 30,000 คน จ.ตราดเกือบ 20,000 คน จ.สระแก้ว เฉพาะสวนลำไยอีกกว่า 1,000 คน

แต่ติดเงื่อนปมปัญหาใหญ่ตรงข้อกำหนดที่ “ห้ามนำแรงงานที่ขออนุญาตมาทำงานข้ามเขตจังหวัด” แม้ว่าเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน มีพืชผลที่เก็บเกี่ยวหมุนเวียนกัน และสภาพความจริงคือ “มีการลักลอบ” นำแรงงานมาใช้ข้ามเขตกันเป็นปกติ

จึงเป็นช่องว่างให้เจ้าหน้าที่บางส่วนหาผลประโยชน์จากแรงงานที่มีหนังสือเดินทาง (Border Pass) อย่างถูกต้อง จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขอใบอนุญาตตามปกติจาก 1,325 บาท/คน เพิ่มสูงขึ้นถึงหัวละ 6,000-10,000 บาท

2 ปีที่ผ่านมาหลาย ๆ องค์กร สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด หอการค้าจังหวัดตราด และคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร พยายามที่จะขอให้รัฐบาลแก้ไขมาตรา 64 ให้แรงงานข้ามเขตจังหวัดและสามารถเดินทางทำงานได้ทั่วประเทศ

อุตฯ-หอตราดดันปลดล็อก

นายพิพัฒน์ ฤกษ์สหกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ให้ข้อมูลว่า ปัญหาเรื่องแรงงานกัมพูชาไม่สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ เป็นช่องทางหาเงินของเจ้าหน้าที่บางคน และทำให้ผลผลิตเสียหาย เนื่องจากเสียเวลาจากขั้นตอนดำเนินการขอใบอนุญาต

ADVERTISMENT

เมื่อปลายปี 2566 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด หอการค้าจังหวัดตราด ได้นำเสนอ กรอ.จ.ตราด ให้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยพิจารณาแก้ไข พร้อมกับการผลักดันในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย

และได้คำตอบจากมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2567 วันที่ 5 สิงหาคม 2567 ว่า จะเร่งดำเนินการเสนอ ครม.ด่วน เพื่อมีมติให้แรงงานเก็บผลผลิตที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 64 อยู่แล้ว ได้เคลื่อนย้ายแรงงานเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรได้ทั่วประเทศ โดยไม่ต้องขออนุญาตเข้า-ออก พื้นที่แต่ละจังหวัดทุกครั้ง

“แรงงานเข้ามาเก็บลำไยที่จันทบุรีเสร็จต้องกลับไปกัมพูชาทางด่านจันทบุรี และกลับเข้ามาใหม่ที่ด่านจังหวัดตราด มีทั้งค่าใช้จ่ายและเสียเวลา ในขณะที่ต้องเร่งการเก็บเกี่ยว เรื่องนี้อยู่ในอำนาจของรัฐบาลไทย ควรเร่งดำเนินการ เห็นใจชาวสวนผลไม้ที่จะเสียค่าใช้จ่ายพิเศษ และผลไม้ในสวนจะร่วงลงเสียหาย” นายพิพัฒน์กล่าว

จ่ายใต้โต๊ะละหมื่นเลี่ยงถูกจับกุม

นายวุฒิพงศ์ รัตนมณฑ์ : ประธานเครือข่ายสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรจังหวัดตราด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหานี้ ปี 2566 เป็นประธานหอการค้าจังหวัดตราด ได้เสนอผ่านหอการค้าไทยให้ช่วยแก้ไข และปี 2567 เสนอเรื่องนี้ให้นายศักดินัย นุ่มหนู ประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร และ สส.จังหวัดตราด และลงพื้นที่สวนผลไม้ของจังหวัดตราด เพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการ เพื่อผลักดันแรงงานภาคเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านให้ข้ามจังหวัดได้ และรับเรื่องเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไข จนกระทั่งได้นำเสนอเลขาฯคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568

และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 นายกฯลงพื้นที่จันทบุรี ได้ให้คำตอบว่า รอการนำเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติ โดยผ่านขั้นตอนทั้งหมดมาแล้ว คาดว่าจะมีการเร่งเสนอเข้า ครม.โดยเร่งด่วน เกรงว่าจะไม่ทันช่วงฤดูกาลเก็บผลไม้ของภาคตะวันออกในปี 2568 โดยเฉพาะจังหวัดตราด ผลไม้ทำรายได้ให้กว่า 20,000 กว่าล้านบาท

“ช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายนของทุกปี จังหวัดตราดมีผลไม้เงาะ มังคุดต้องเก็บเกี่ยวจำนวนมาก คาดว่าต้องใช้แรงงานประมาณเกือบ 20,000 คน แต่แรงงานที่ขอใบอนุญาตตาม ม.64 ปี 2566/2567 จ.ตราด มีเพียง 4,536 คน ต้องอาศัยแรงงานกัมพูชาที่นำเข้าทางด่านชายแดน ด่านบ้านแหลม บ้านผักกาด จ.จันทบุรี เป็นแรงงานเข้ามาเก็บลำไย และเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่ลำไยหมด ต้องการหางานทำต่อ

จังหวัดตราดเองขาดแคลนแรงงาน แต่นายจ้างผู้นำเข้าแรงงานแจ้งว่า การนำแรงงานจาก จ.จันทบุรีมาทำงานที่ตราดต้อง “เสียใต้โต๊ะ” ให้เจ้าหน้าที่หัวละ 700 บาท หรือเหมาเป็นกลุ่มละ 10,000 บาท “แลกกับการถูกจับกุม” จากเจ้าหน้าที่หลาย ๆ หน่วยงาน ช่วงฤดูกาลเร่งการเก็บเกี่ยว มีผลผลิตจำนวนมาก หากแก้ไขกฎหมายให้แรงงานกัมพูชาเดินทางข้ามจังหวัดได้ จะตัดปัญหาการเรียกร้องหาผลผระโยชน์จากเจ้าหน้าที่บางส่วนได้โดยเด็ดขาด” นายวุฒิพงศ์กล่าว

จี้รัฐบาลแก้ส่วยแรงงาน

นายศักดินัย นุ่มหนู ประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร และ สส.จังหวัดตราด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า คณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร และนางสาวญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี ร่วมกันผลักดันเรื่องนี้เกือบประสบความสำเร็จแล้ว โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ได้มีหนังสือทวงถามไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และได้รับคำตอบจากนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีปัญหาจะเร่งพิจารณา หากมีการนำเสนอเข้า ครม. แต่หลังจากนั้นมีประชุม ครม.ทุกวันอังคาร ยังไม่มีเรื่องนี้เข้ามาพิจารณาแต่อย่างใด

แต่ปรากฏการณ์ที่เห็น จ.ตราดกลับสวนทางกับแนวทางของรัฐบาลที่เริ่มผ่อนคลาย กลับถูกเจ้าหน้าที่กวดขันและ “เรียกเก็บส่วยทั้งรายหัวและเหมาจ่าย” แรงงานกัมพูชาที่ข้ามเขตจาก จ.จันทบุรีมาเก็บเกี่ยวผลไม้ จ.ตราด สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรที่จำเป็นต้องเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงนี้

“ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลไม้ภาคตะวันออกแต่ละจังหวัดทับซ้อนและไล่เรียงกัน ถ้าแรงงานเข้ามาทางด่านผักกาด จ.จันทบุรี รับจ้างเก็บลำไยที่ อ.สอยดาว จะข้ามไปเก็บลำไยที่ อ.คลองหาด จ.สระแก้วไม่ได้ ต้องใช้แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนที่ จ.สระแก้ว

เช่นเดียวกับที่ จ.ตราด มังคุด เงาะ ผลผลิตออกต่อจากลำไย แต่แรงงานข้ามแดนจากจันทบุรีมาไม่ได้ ช่องว่างห้ามแรงงานต่างด้าวทำงานข้ามเขตนี้ จึงเป็น “บ่อทอง” ให้คนบางกลุ่มเรียกเก็บเงินค่าผ่านทาง หรือ “ส่วย” โดยไม่ถูกจับกุม ปี 2567 ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเสนอหน่วยงานให้ผ่อนผันการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามจังหวัดได้ เมื่อต้นปี 2568 กระทรวงแรงงานได้เสนอแนวทางผ่อนผันแรงงานภาคเกษตรข้ามจังหวัด และสภาความมั่นคงแห่งชาติเห็นชอบ เหลือเพียงรอการพิจารณาของ “คณะรัฐมนตรี” ประกาศเป็นกฎหมายออกมาบังคับก่อนหมดฤดูเก็บเกี่ยว แต่กลับเป็นกำแพงสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่มาหาผลประโยชน์

“ปัญหา ‘ส่วยแรงงาน’ ที่นายหน้าต้องจ่ายให้เจ้าหน้าที่ คือต้นทุนของเกษตรกร ทางออกเดียวคือ ครม.เร่งพิจารณา อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวมาตราที่ 64 สามารถทำงานข้ามเขตได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาแรงงานภาคเกษตรขาดแคลนในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวในอนาคต” นายศักดินัยกล่าว

pca_Cover_photo

จ่ายนอกระบบเพิ่มต้นทุน

แหล่งข่าวจากหัวหน้าแรงงานไทย หรือเรียกว่า “หัวรถ” ทำหน้าที่จัดหาแรงงานกัมพูชามาเก็บเกี่ยวผลไม้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การนำเข้าแรงงานกัมพูชาตามมาตรา 64 โดยใช้หนังสือผ่านแดน (Border Pass) นำมาใช้เก็บลำไยและเงาะใน จ.จันทบุรีและ จ.ตราด เข้ามาทางด่านบ้านผักกาด ด่านบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยจัดทำเอกสารผ่านขั้นตอนการตรวจสุขภาพ การประกันสุขภาพ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการทำงาน รวม ๆ ค่าใช้จ่ายดำเนินการเอง 1,800-3,000 บาท/คน

แต่ส่วนใหญ่จะจ้างโบรกเกอร์ดำเนินการให้ จะบวกเพิ่มหัวละ 500 บาท รวมประมาณ 2,300-3,500 บาท/คน เพื่อทำงานในระยะเวลา 3 เดือน หากต่ออายุการทำงานเพิ่มเป็น 6 เดือน ต้องเสียค่าใบอนุญาตเพิ่ม 1,400 บาท จากนั้นนายจ้างต้องหาที่พัก จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และรถบรรทุกแรงงานไปทำงาน และต้องพาคนงานทั้งหมดไปรายงานตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทุก 30 วัน โดยเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 100 บาท/คน

“แผงรับซื้อผลไม้ หรือล้ง จะติดต่อประสานจ้างเหมาให้เก็บลำไยในจันทบุรีและเงาะที่จังหวัดตราด ซึ่งแรงงานเหล่านี้คนไทยมักไม่สู้งาน เพราะการทำงานต้องเริ่มตั้งแต่ 05.30 น. เก็บลำไยทำงานถึงเที่ยงคืน เก็บเงาะบางครั้งเจอฝนและต้องเร่งทำงานให้เสร็จ แรงงานที่เก็บลำไยล้งจะจ้างตะกร้าละ 55 บาท (1 ตะกร้า น้ำหนัก 11.5 กก.) แรงงานจะได้ตะกร้าละ 45 บาท นายจ้างได้ 10 บาท เพราะการเก็บลงตะกร้าต้องชำนาญ แยกเป็น 4-5 เบอร์ แต่ถ้าเป็นเงาะ ค่าจ้าง กก. 3 บาท แยกแค่คัดตกไซซ์ออก แรงงานได้ 2 บาท นายจ้างได้ กก.ละ 1 บาท”

“แรงงานเหล่านี้จะอยู่ในไทยตลอดตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่นำเข้ามา จะเก็บลำไยที่ จ.จันทบุรีถึงเดือนมีนาคม เมษายน จากนั้นจะไปเก็บเงาะที่ จ.ตราดถึงเดือนมิถุนายน และกลับมารอเก็บลำไย ระหว่างนั้น 1-2 เดือน จะรับจ้างทำงานสวน โดยไม่ได้กลับไปกัมพูชา เพราะบางคนบ้านอยู่ไกลติดชายแดนเวียดนาม ต้องเสียค่าเดินทางไกล การผ่อนผันแรงงานภาคเกษตรควรให้มีการข้ามจังหวัดได้ เพราะสภาพแท้จริงทำกันอยู่แล้ว ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายนอกระบบเพิ่มขึ้น และในระบบที่ให้มีการต่อใบอนุญาตหากอยู่เกิน 3 เดือนอีก 1,400 บาท เพิ่มภาระให้นายจ้าง” นายจ้างกล่าว

คนกัมพูชาเผย 3 เดือนจ่าย 4 พัน

“สูน” แรงงานต่างด้าวหญิงกัมพูชา อายุ 31 ปี พูดไทยได้เล่าว่า บ้านอยู่ จ.พระตะบอง เข้ามาทำงานกับสามีในเมืองไทย 15 ปีแล้ว แรก ๆ รับจ้างทำก่อสร้าง ปูกระเบื้อง อยู่กรุงเทพมหานคร 2 ปีนี้เพิ่งมาเก็บผลไม้ลำไย เงาะ มังคุด การเข้ามาทำงานต้องเสียค่าทำบัตรผ่านแดน (Border Pass) 1,000 บาท

เมื่อเข้ามาทำงานในไทย นายจ้างจะเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมทั้งค่าใบอนุญาตทำงาน ระยะเวลา 3 เดือนเป็นเงินทั้งสิ้นเกือบ ๆ 4,000 บาท และนายจ้างจะหักค่าแรงรายเดือนหรือตามงวดเงินทีหลัง นายจ้างจะอำนวยความสะดวกที่พัก ค่าน้ำ-ไฟ รถรับ-ส่งไปทำงานในสวน และนำไปประทับตรารายงานตัวที่ ตม.ทุก 30 วัน แรก ๆ เข้ามาเก็บลำไยที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อลำไยหมด มาเก็บเงาะที่จังหวัดตราด

“เคยทำงานก่อสร้างค่าแรงจะสูงกว่า วันละ 300-320 บาท หรืองานเหมาวันละ 350-400 บาท ตอนนี้ไม่มีงานทำ จึงมาเก็บลำไยค่าแรงดีกว่าเงาะ ต้องเก็บและทำตะกร้าคัดเบอร์ 1-5 เบอร์ ได้ค่าแรงเป็นคู่ (2 คน) วันละ 25-30 ตะกร้า ตะกร้าละ 45 บาท มีรายได้ 1,253-1,350 บาท แต่ถ้าเก็บเงาะ กก.ละ 2 บาท โดยคิดเป็นตะกร้า ตะกร้าละ 19 กก. แค่แยกตกไซซ์ (ทำเป็นคู่) คิดเงินให้รอบละ 5 วัน มีรายได้ประมาณ 3,000-5,000 บาท ค่าจ้างในไทยใกล้เคียงกับกัมพูชา แต่ค่าครองชีพกัมพูชาสูงกว่า รายได้จะส่งกลับไปช่วยเหลือครอบครัวที่กัมพูชา เพราะมีลูก ๆ อยู่ 3 คนที่ต้องเรียนหนังสือ” แรงงานกัมพูชากล่าว

สมาคมลำไยสระแก้วยื่น จม.

นายศิริไพบูลย์ วัฒนวงศ์ชัย อุปนายกสมาคมลำไยและไม้ผล จ.สระแก้ว เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหาแรงงานกัมพูชาข้ามเขตจังหวัดจันทบุรี มาเก็บลำไยที่จังหวัดสระแก้วที่เป็นเขตต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อราคาลำไยและความเสียหายให้ชาวสวนลำไยทุกปี เพราะแรงงานที่นำเข้ามาเก็บลำไยนอกเขต จ.จันทบุรี ต้องเสียค่าใช้จ่ายนอกระบบเพิ่มขึ้น ให้รถบรรทุกคนงาน (คันละ 10-15 คน) เพิ่มขึ้นคันละ 500 บาท

ถ้าเก็บแต่ละสวนประมาณ 5 คัน หมายถึงราคาลำไยที่ล้งต้องซื้อลดราคาลง และถ้าลำไยที่จันทบุรีออกมาก แรงงานไม่พอ จะไม่ข้ามเขตมาเก็บ ทำให้ลำไยถูกทิ้งเสียหาย ผลผลิตลำไยสระแก้ว ประมาณ 30,000-40,000 ตันไม่มาก แรงงานที่ใช้กว่า 1,000 คน ช่วงที่ลำไยออกมาก ธันวาคม-มกราคมเพียง 2 เดือน จันทบุรี สระแก้ว พื้นที่ติดต่อกัน

การเข้ามามีบอร์เดอร์พาสและเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ถูกต้อง หัวละ 1,325 บาท เมื่อกฎหมายห้ามข้ามเขต แรงงานเหล่านี้ต้องหลบซ่อนทำงานข้ามเขต ต้องมีค่าใช้จ่ายให้ผู้ดำเนินการหัวละ 6,000-7,000 บาท ต่อไปลำไยในกัมพูชาเพิ่มขึ้น แรงงานอาจจะเลือกทำงานในบ้าน ถ้าไม่มีแรงจูงใจ ปัญหาขาดแคลนเก็บลำไยจะเพิ่มขึ้น เรื่องนี้สมาคมลำไยและไม้ผลจังหวัดสระแก้ว จะมีหนังสือเสนอรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาแรงงานดังกล่าวภายในเดือนมิถุนายนนี้” นายศิริไพบูลย์กล่าว

ข้อมูล…พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 64 เป็นความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศ เมื่อ 11 กรกฎาคม 2558 มีผลบังคับในพื้นที่ชายแดนไทย 7 จังหวัด คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ผู้ถือบัตรผ่านแดนที่ได้ทำตามเงื่อนไขและกระบวนการภายในการทำงานแบบไป-กลับ และแบบตามฤดูกาลจะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่กำหนดของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลา 30 วัน/ครั้ง