ค้าน ‘ปราจีนบุรี’ เข้า EEC ‘มลพิษ’ ทำเกษตร-ปศุสัตว์ล่มสลาย

EECprajean

ร้อนแรงอย่างต่อเนื่องเมื่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) มีนโยบายจะนำ “ปราจีนบุรี” ขยายเพิ่มเป็นจังหวัดที่ 4 ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องจากมีประชาชนชาวจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรแสดงท่าที “คัดค้าน”

โดยให้เหตุผลว่า ปัจจุบันปราจีนบุรี เปรียบเสมียนถังที่รองรับ “ขยะสารพิษ” ต่าง ๆ จาก 3 จังหวัดอีอีซี (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) อยู่แล้ว ที่ผ่านมาบทเรียนเรื่องสารซีเซียม-137 ไม่สามารถแก้ไขได้ชัดเจน

แก้กฎคุมเข้มสิ่งแวดล้อม

นายวิโรจน์ น้อยสำเนียง นายกสมาคมจิตอาสาพัฒนาปราจีนบุรี และตัวแทนกลุ่มรักเมืองปราจีนบุรี ในฐานะตัวแทนเครือข่ายภาคประชาสังคมจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ที่ออกมาคัดค้าน เพราะปัจจุบันที่ อ.กบินทร์บุรี และ อ.ศรีมหาโพธิ มีโรงงานอยู่จำนวนมาก

ส่วนหนึ่งเป็นโรงงานที่ทำธุรกิจรีไซเคิล ทำให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่รับขยะพิษจาก 3 จังหวัดอยู่แล้ว หากให้ปราจีนบุรีเป็นจังหวัดที่ 4 ใน EEC กังวลว่าจะพบมหันตภัยอย่างมหาศาล โดยที่ผ่านมาเวลาโรงงานต่าง ๆ ปล่อยมลพิษฟุ้งไปในอากาศ น้ำ และดิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อพืชผลทางเกษตรที่ปลูก จึงต้องมาช่วยกันคัดค้าน กฎหมายมีช่องโหว่ โดยเฉพาะการปล่อยให้ทุนจีนเทาเข้ามาทำธุรกิจ มีปัญหามลพิษมากมาย

กังวลว่าการให้ปราจีนบุรีเข้าอีอีซีจะซ้ำเติมปัญหาเดิม ยกตัวอย่างเรื่องสารซีเซียม-137 ที่หลุดออกมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน อ.กบินทร์บุรี ตั้งแต่ปี 2566 เป็นเรื่องเก่าที่ยังไม่สามารถแก้ไข รวมถึงยังมีการนำกากแดง เศษเหล็กในโรงงาน ฝังอยู่ในพื้นที่ปราจีนฯจำนวนมาก

ที่ผ่านมาเราพยายามออกมาคัดค้านการประชุม กลัวว่าเมื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นครบ 7 อำเภอจะถือว่าครบองค์ประกอบของกฎหมายแล้ว ซึ่งจะไม่สามารถค้านต่อได้เลย ความเดือดร้อนจากมลพิษที่จะเกิดขึ้นในอีก 50 ปีข้างหน้า หรือหลังจากที่อีอีซีถอนตัวออกจากปราจีนบุรีแล้ว จะเหลือเศษซากอะไรทิ้งไว้ให้คนปราจีนฯแบกรับหรือไม่ นี่คือทุกข์ของพวกเรา ที่ไม่อยากให้เกิด เพราะในวันนี้เรากำลังทำทุกสิ่งอย่างเพื่อลูกหลานของเรา

ไม่ใช่ว่าเราค้านเรื่องความเจริญของบ้านเมือง พวกเราต้องการให้บ้านเมืองเจริญ ประชาชนมีรายได้ดี ๆ สามารถทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมที่ทันสมัย แต่ในความเป็นจริงต้องถามกลับว่า การที่ทุนจีนเข้ามา แน่นอนว่านำบุคลากรและเทคโนโลยีของจีนมา ถ้ามาแบบโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีมาตรฐาน คนก็รับฟังอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลุ่มทุนสามารถไปตั้งโรงงานที่ไหนก็ได้ที่ชอบใจ ติดขัดตรงไหนก็ทำ fast track ได้เลย โดยเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำปราจีนบุรี อย่างไรก็ตาม วิธีการเดียวที่จะให้ปราจีนบุรีเป็นอีอีซี ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้แข็งแรงก่อน

ADVERTISMENT

EECprajean

สารพิษทำเลี้ยงควายไม่โต

นายธนวรรธน์ ธัชชัยจิรสิน ประธานวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงกระบือปลักแห่งลุ่มน้ำปราจีนบุรี ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี บอกว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมานิคมอุตสาหกรรม ใน ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงควายโดยตรง เพราะมลพิษหรือสารไดออกซินที่ปล่อยสู่อากาศ เกิดการปนเปื้อนเป็นฝนกรด ทำให้ปนเปื้อนไปยังทุ่งหญ้า เมื่อนำหญ้าให้ควายกินจะเกิดการสะสมสารพิษป่วย เลี้ยงไม่อ้วน ผสมพันธุ์ไม่ติด แท้งลูก ในขณะที่ควายสายพันธุ์ “กระบือปลัก” ซึ่งเป็นสายพันธุ์พื้นเมือง มูลค่า 20,000-30,000 บาท/ตัว ได้รับผลกระทบป่วยจากมลพิษ

ล่าสุดควายเผือกที่ได้รับพระราชทานเกิดแท้งลูก ซึ่งมูลค่าควายเผือกสูงถึง 50-60 ล้านบาท ดังนั้นจึงออกมาคัดค้านการขยายพื้นที่อีอีซี

“เดิมนิคมใน อ.กบินทร์บุรี มีโรงงานที่ปล่อยสารพิษ จะมีสารปนเปื้อนอยู่ในอากาศ คือ “สารไดออกซิน” ไม่ทำให้ตายอย่างเฉียบพลัน แต่อาการจะค่อย ๆ รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ เมื่อสารชนิดนี้ปลิวไปตกที่ใบพืชจะดำ หรือปลิวไปตกผลทุเรียนจะเป็นโรคง่าย หรือตกไปในน้ำ ทำให้น้ำเสื่อมโทรม สัตว์น้ำถูกปนเปื้อน แล้วถ้าปลิวเข้าจมูก คนจะเป็นโรคปอด ปัจจุบันพื้นที่ตรงนี้มีแต่สารพิษเต็มไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม การตั้งธุรกิจใหญ่ ย่อมมีผลเชิงบวก คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ผลเชิงลบอย่างสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่จะต้องตระหนักไม่แพ้กัน”

นายธนวรรธน์กล่าวต่อไปว่า ที่บอกว่าถ้าปราจีนบุรีเป็นอีอีซีจะสร้างความเจริญให้จังหวัด ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนประมาณ 400,000 ล้านบาท จังหวัดปราจีนบุรี มีประชากร 400,000 กว่าคน แต่หากดิน น้ำ อากาศเกิดการปนเปื้อน คนเสี่ยงเป็นมะเร็งจะให้ยอมรับหรือ ตอนนี้มีทุนจีนเทาลักลอบนำกากสารพิษมาฝังทิ้งไว้ เสมือนการฝังระเบิดที่ภาคพื้นดิน มีการลักลอบเผาขยะพิษ และการปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำ รวมถึงปล่อยควัน เหมือนเป็นการเอาสารพิษมาฆ่าประชาชนทางอ้อม

“พูดกันตรง ๆ ถ้าอีอีซีนำอุตสาหกรรมดี ๆ เข้ามาทำประโยชน์ให้พื้นที่ ทำไมเราจะไม่เอา แต่นี่มาแบบซ่อนเงื่อนไข ไม่มีการทำวิจัยไตรภาคีในการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วยองค์กรอิสระ ภาครัฐ และภาคประชาชน ให้มาร่วมตรวจวิเคราะห์ว่าพื้นที่เป้าหมายมีความเหมาะสมต่อการทำนิคมอุตสาหกรรมหรือไม่ ชาวบ้านไม่ได้คัดค้านการตั้งโรงงาน แต่ต้องไปตั้งในพื้นที่ที่ห่างไกลแหล่งชุมชนและอยู่ภายใต้การควบคุมให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยในเขตพื้นที่สีม่วงเท่านั้น”

EECprajean

หวั่นเกษตรอินทรีย์ล่มสลาย

นายสุนทร คมคาย ประธานเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) ที่ปรึกษาสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ปราจีนบุรี จำกัด และประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ต.เขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า การคัดค้านการขยายพื้นที่ปราจีนบุรีเป็นอีอีซี เพราะต้องการปกป้องแหล่งความมั่นคงทางอาหาร เพราะเกษตรอินทรีย์มีเครือข่ายเกษตรกร 200 รายทั่วจังหวัด มีพื้นที่เครือข่ายรวม 4,000 ไร่ ปลูกพืชผักสวนครัวและพืชสมุนไพรมากกว่า 120 ชนิด เ

พื่อส่งเข้าโรงครัวของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โรงพยาบาลกบินทร์บุรี และเลมอนฟาร์ม การเข้ามาของนิคมอุตสาหกรรมย่อมส่งผลกระทบต่อการปลูกเกษตรอินทรีย์ เพราะหนึ่งในมาตรฐานของพืชเกษตรอินทรีย์คือ ต้องอยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์

สมัยรัฐบาล คสช.ได้ออกประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 4/2559 เรื่องการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวง ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภทให้สามารถตั้งในพื้นที่ใดก็ได้ ทำให้โรงงานประเภท 105 และ 106 เกี่ยวกับกิจการโรงงานคัดแยกและฝังกลบขยะรีไซเคิลมาตั้งใน จ.ปราจีนบุรีจำนวนมาก

และประกาศฉบับนี้ยังมีผลบังคับใช้ ทำให้เกิดการขยายตัวแบบไร้ทิศทาง จนปราจีนบุรีกลายเป็นที่รองรับขยะพิษของเสียจาก EEC จะเห็นได้ว่า มีโรงหลอม-โรงกำจัดขยะตั้งในพื้นที่ผังเมืองสีเขียว ไม่มีการทำประชาคมสอบถามคนในพื้นที่ แค่ติดประกาศ หากปราจีนบุรีเป็น EEC จะส่งผลกับผู้บริโภคสินค้าของเรา จะยิ่งทำให้เราล่มสลาย เครือข่ายเกษตรอินทรีย์จึงลุกขึ้นมาต่อสู้

ห่วงซ้ำรอยสารซีเซียม

นางนิตย์ ไพเราะ ประธานกลุ่มส้มโอแปลงใหญ่ปราจีนบุรี และเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอ อ.ศรีมหาโพธิมากว่า 50 ปี ได้ฉายภาพให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่มีนิคมอุตสาหกรรมเข้ามาว่า เดิม อ.ศรีมหาโพธิเป็นอำเภอที่มีแหล่งเกษตรกรรมกว่า 80% ของพื้นที่ มีสวนส้มโอกว่า 400 ไร่ จนกระทั่งปี 2558 เริ่มมีการกว้านซื้อที่ดินเพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม

จากนั้น 10 ปีต่อมา จากสวนส้มโอ 400 ไร่ กลับเหลือเพียง 200 ไร่ เพราะชาวสวนต่างประสบปัญหามลภาวะ อากาศ กลิ่นของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ชาวสวนตัดสินใจขายที่ดิน ดังนั้นการขยายพื้นที่อีอีซีจะไม่เกิดผลดีกับเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอ เพราะโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่ก็แย่พออยู่แล้ว คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า สวนส้มโอน่าจะไม่เหลือ

ในช่วงที่มีสารซีเซียม-137 ทำให้ส้มโอที่ปลูกเพื่อส่งออกกว่า 700 ตัน ราคา 90-120 บาทต่อ กก. แทบขายไม่ได้ เสียหายหลายล้านบาท จากที่เคยทำ GAP/Organic Thailand/ISO ก็ขายได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะต่างประเทศที่นำเข้าเพิ่มมาตรฐานให้ตรวจหาสารตกค้างจาก 12 สาร ตอนนี้เพิ่มเป็น 30 สาร เมื่อก่อนค่าตรวจแค่ 8,000 บาท/ตู้ แต่ตอนนี้ค่าตรวจเพิ่มขึ้นเป็น 20,000-30,000 บาท/ตู้

“เรื่องมลพิษมีผลกระทบมาก ตอนนี้มีโรงกระดาษแห่งหนึ่ง ปล่อยมลพิษตอนกลางคืน ทำให้ใบและดอกส้มโอดำ ไม่ติดผล หากต้นใดรอดออกผลได้ ผลส้มโอก็ดำมาก ทำให้การเคลือบเงาแวกซ์ผลส้มโอเพื่อการส่งออกนานขึ้น ปกติใช้เวลา 5 นาที เพิ่มเป็น 10 นาที ทำให้ยุ่งยากเสียเวลา และต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าตัว ปัญหามลพิษ ผลกระทบเยอะมาก นี่ขนาดยังไม่เข้าอีอีซี ถ้าเข้าอีอีซีจริง ๆ สวนส้มโอจะเหลือกันสักกี่แห่ง อย่างไรก็ตาม ทั้งจังหวัดมีเครือข่ายเกษตรกรประมาณ 8,000 ไร่ แต่ถ้าอีอีซีมามีแนวโน้มว่าจะครอบทั้ง 2 อำเภอ ที่กบินทร์บุรีมีนายหน้ามากว้านซื้อที่ดิน ถ้าเข้าอีอีซีจริง ๆ สวนจะเหลือกันสักกี่แห่ง”

EECprajean

7 ปีอีอีซีขายฝันเกษตรไม่ยั่งยืน

นางนันทวัน หาญดี กลุ่มเกษตรอินทรีย์สนามชัยเขต (เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จังหวัดฉะเชิงเทรา) กล่าวว่า ได้เข้ามาสนับสนุนการคัดค้านการนำปราจีนบุรีเข้าเป็นอีอีซีอย่างเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาทางภาครัฐได้โฆษณาชวนเชื่อว่า 3 จังหวัดนำร่อง (ฉะเชิงเทรา-ระยอง-ชลบุรี) จะนำพาอุตสาหกรรมก้าวหน้า เทคโนโลยีที่ทันสมัย เศรษฐกิจเติบโต และเป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย

แต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีเป็นรูปธรรมตามที่โฆษณาไว้ แต่สิ่งที่ประจักษ์ในสังคมพบว่า อีอีซีได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผังเมืองรวมจังหวัดฉะเชิงเทราที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นผังเมืองที่มีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน มีการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืน ทำให้มีพื้นที่สีเขียว มีความมั่นคงทางอาหาร

แต่ปัจจุบันให้กลายเป็นผังเมืองอีอีซี โดยมี พ.ร.บ.อีอีซี ที่ให้สิทธิพิเศษกับภาคอุตสาหกรรมเข้ามาลงทุน โดยไม่มีตัวกฎหมายไปควบคุมหรือกำกับที่เข้มแข็ง และยกเลิกกฎหมายเดิมไปหมด

“การพัฒนาต้องให้ทุกคนเข้าถึงประโยชน์ได้ มีโอกาสในการพัฒนา และต้องเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นธรรม กระจายรายได้ กระจายโอกาส เพื่อให้รักษาพื้นที่ดี ๆ ไว้ให้ลูกหลาน นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ถ้าเรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จากนี้มวลชนจะเพิ่มขึ้น พี่น้องในเครือข่ายจะผนึกกำลังถล่มอีอีซีอย่างแน่นอน”

EECprajean

จีนเทาตั้งโรงงานผิดกฎหมาย

รายงานจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี (สอจ.ปราจีนบุรี) ในรอบเดือนพฤษภาคม 2568 นายวิเชียร ทองด้วง อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนกว่า 15 ครั้ง

ยกตัวอย่าง วันที่ 8 พ.ค. 2568 ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัทคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย และบริษัทผลิตเชื้อเพลิงผสมจากสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่เป็นของเสียอันตราย ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี พบว่า ติดตั้งเครื่องจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 จึงออกหนังสือสั่งระงับการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย

วันที่ 16 พ.ค. 68 ตรวจสอบโรงงานผลิตเหล็กรีดร้อนและเหล็กรูปพรรณ อ.ศรีมหาโพธิ ไม่พบการประกอบกิจการโรงงาน ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เหล็กไปทดสอบตามมาตรฐาน มอก. และเก็บตัวอย่างวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว นำไปวิเคราะห์ พบเครื่องจักรไม่สอดคล้องกับที่แจ้ง เข้าข่ายประกอบกิจการโรงงานส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงงานฯ พบกองเก็บตะกรันจากการหลอม โดยไม่แจ้งนำไปจัดการภายนอก รวมถึงมีการตรวจสอบผลคุณภาพอากาศ

พร้อมตรวจสอบ “บริษัท หัวไท่เซิงเหอ จำกัด” ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จากการดำเนินคดีข้อหา “ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต” และมีการอายัดเครื่องจักรและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไว้ จากการตรวจสอบไม่พบการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ออกนอกโรงงาน ต่อมาได้ไปเก็บตัวอย่างน้ำในคลองพระปรง อ.กบินทร์บุรี ซึ่งชาวบ้านสงสัยว่าน้ำเสีย ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษภาคตะวันออก กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้นำตัวอย่างน้ำไปวิเคราะห์ต่อไป

วันที่ 22 พ.ค. 68 ลงตรวจสอบโรงงานหลอมหล่อเศษโลหะ เช่น อะลูมิเนียม ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี พบว่า โรงงานไม่มีการประกอบกิจการ มีการจัดเก็บฝุ่นจากระบบบำบัดอากาศไว้ในอาคาร และไม่เคยส่งฝุ่นไปกำจัด สอจ.ปราจีนบุรี จึงแนะนำวิธีการกำจัดฝุ่นจากระบบบำบัดมลพิษอากาศ ตาม พ.ร.บ.โรงงานฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี

พบว่า มีการประกอบกิจการโรงงานตามปกติ คัดแยกวัตถุดิบหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนตาม พ.ร.บ.โรงงานฯ ไม่ได้มีการเปิดดำเนินการ สอจ.ปราจีนบุรี แนะนำให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

วันที่ 26 พ.ค. 68 ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงหลอม ต.หัวหว้า อ.ศรีมหาโพธิ ที่ได้มีการอายัดเครื่องจักรและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไว้ จากการตรวจสอบไม่พบการเคลื่อนย้ายออกนอกโรงงาน นอกจากนี้ ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงหลอม ต.หัวหว้า อ.ศรีมหาโพธิ กรณีชาวบ้านร้องเรียนว่ามีการปล่อยน้ำเสียออกนอกโรงงาน ทำให้ต้นข้าวและปลาตาย จากการตรวจสอบโรงงานมีการประกอบกิจการตามปกติ และได้เก็บตัวอย่างน้ำทิ้ง 2 จุด ส่งตรวจวัดที่ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษภาคตะวันออก โดย สอจ.ปราจีนบุรี แนะนำผู้ประกอบการดำเนินการตามกฎหมาย

วันที่ 27 พ.ค. 68 ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงาน ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี ชาวบ้านร้องเรียนว่ามีการลักลอบเดินเครื่องจักรระหว่างถูกระงับฝ่าฝืนคำสั่ง จากการตรวจสอบ พบว่า หยุดประกอบกิจการ ไม่มีการเดินเครื่องจักร และอยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขตามกฎหมาย รวมถึงลงพื้นที่พบปะชาวบ้านรับฟังปัญหาและตรวจสอบฝุ่นละออง และเสียงที่เกิดจากการผลิตเฟอร์นิเจอร์ ต.นนทรี อ.กบินทร์บุรี เป็นต้น