เปิดตัว”เครื่องตรวจสาร BY2″ ในทุเรียนแบบพกพา หวังเพิ่มโอกาสผู้ส่งออกไทย

สวทช. โดย นาโนเทค ลงพื้นที่จังหวัดระยอง นำต้นแบบ “N-sense” อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา หวังลดต้นทุน เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนไทย

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ยกทีมวิจัยลงพื้นที่ทดสอบภาคสนามพร้อมดันแบบ “N-sense” ตรวจตัวอย่างทุเรียนจากเกษตรกรในพื้นที่วังจันทร์ จ.ระยอง ในเขตนวัดกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซีโอ (Eastern Economic Corridor of Innovation: (EECi) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผลผลิตทุเรียนในพื้นที่

นวัตกรรม “N-sense” อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์เกษตรกร/กลุ่มผู้ส่งออกทุเรียน เสมือนยกห้องแล็บมาใกล้ตัว โดยมีจุดเด่น ใช้งานง่าย รวดเร็ว ลดเวลารอผลการดรวจวัดแบบมาตรฐานจาก 48 ชม. เหลือเพียง 20 นาที ต้นทุนต่ำ แต่แม่นยำสูง โดยสามารถตรวจจับสาร BY2 ในปริมาณที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่จีนกำหนดไว้ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสาร BY2 ที่ปนเปื้อนอยู่ในทเรียนไทย เพิ่มโอกาสของเกษตรกรรมไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการ (ด้านการวิจัย) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ทุเรียน นับเป็นพืชผลเศรษฐกิจของไทยที่สร้างรายได้ไห้กับเกษตรกรจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ การต่อยอดใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของไทย

เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัดกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานวิจัยของนาโนเทค ภายได้ SF เกษตรและอาหาร ที่มุ่งเน้นการนำนาโนเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่

การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability), การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization), การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) และการเข้าถึงอาหาร (Food Access) ซึ่งชุดดรวจ BY2 นี้เป็นการส่งเสริมให้เกิกการเข้าถึงอาหารอย่างปลอดภัย โดยนาโนเทคเอง มุ่งเน้นเรื่องแพลตฟอร์มตรวจการปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัย และความมั่นคงทางด้านอาหาร และอาหารสัตว์ (Integrated Nano Sensor & Testing Platforms)

“ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรชี้ว่า ปี 2566 สถิติการส่งออกทุเรียนสดจากภาคตะวันออกของไทยไปยังประเทศจีนอยู่ที่ 6.5 แสนตัน มูลค่ามากกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อเจอวิกฤตเรื่องสาร BY2 ส่งผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนสดจากภาคตะวันออกของไทยอย่างมาก

ADVERTISMENT

คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ต้นแบบชุดตรวจนี้ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลา รวมถึงเพิ่มโอกาสให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนไทย” ดร.วิยงค์กล่าว

ขณะที่ดร.อรรณพ คล้ำชื่น ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูง ความปลอดภัยและสารสนเทศ นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ต้นแบบนวัตกรรม “N-sense” อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา เกิดจากการต่อยอดองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยี เซ็นเซอร์และการตรวจวัดที่ทีมวิจัยมีศักยภาพอยู่แล้ว สู่เครื่องมือที่จะช่วยตรวจคัดกรองให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาของเกษตรกร

“N-sense” ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ ขั้วเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าที่จำเพาะกับสาร BY2 จำนวน 100 ชิ้น/ชุด และเครื่องอ่านและประมวลผลแบบพกพา โดยมีจุดเด่นเรื่องของการใช้งานสะดวก สามารถนำไปใช้ได้ทุกที่ เสมือนยกห้องแล็บมาไว้ในมือ ย่นระยะเวลาในการตรวจจากวิธีในการตรวจวัดแบบมาตรฐานที่ทางเกษตรกรหรือโรงคัดบรรจุ (ลัง) ใช้อยู่ ซึ่งต้องส่งตัวอย่างเพื่อตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ใช้เวลา 48 ชั่วโมง เหลือเพียง 20 นาทีเท่านั้น

เมื่อตรวจคัดกรองด้วย “N-seกse” ค่าใช้จ่ายจะน้อยลงกว่า 10 เท่า แต่ยังคงความแม่นยำสูง สามารถรายงานค่าความเข้มข้นต่ำสุดถึง 0.56 ppb อย่างแม่นยำ ซึ่งดีกว่ามาตรฐานการส่งออกของจีนที่กำหนดให้มีปริมาณสาร BY2 ไม่เกิน 2.0 ppb

ทั้งนี้ เฉพาะขั้วเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าที่ต่างประเทศจำหน่ายอยู่ที่ราคา 200บาท/ชุด โดยคาดว่าจะสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่ต่ำกว่านี้ ในขณะที่เครื่องอ่านและประมวลผลแบบพกพา ราคาไม่ต่ำกว่า 60,000บาท/เครื่อง โดยคาดหวังว่าเอกชนจะสามารถนำไปขายได้ในราคาที่ต่ำกว่าได้

อย่างไรก็ตาม จะมีการขยายพื้นที่ทดสอบภาคสนามไปยังพื้นที่อื่นเพื่อทดสอบความแม่นยำ เช่น ชลบุรี จันทบุรี ชุมพร ทั้งนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับกรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับรองมาตรฐานเครื่องมือดังกล่าว ก่อนจะสามารถจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจในอนาคต

“นวัตกรรมนี้ไม่ได้ไปทดแทนวิธีการตรวจแบบมาตรฐานจากห้องปฏิบัติการกลาง แต่จะช่วยในการคัดกรอง เพื่อลดการะให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการส่งออก ซึ่งนอกจากทุเรียนแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถพัฒนาต่อยอดในการตรวจวัดสารปนเปื้อนชนิดอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการส่งออกได้อีกด้วย” ดร.อรรณพกล่าว

นายสมาน พรหมมา ประธานกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์ จ.ระยอง กล่าวว่า ปัจจุบัน อ.วังจันทร์ มีพื้นที่มีเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียน 4 กลุ่ม โดยกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์เป็นการรวมตัวของเกษตรกรมากกว่า 30 รายในพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 300 ไร่ ที่มุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพ และมาตรฐานการปลูกทุเรียนให้สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก

โดยเชื่อมั่นว่า การใช้นวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาของหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึง สวทช. จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับทุเรียนวังจันทร์ให้มีคุณภาพ และเชื่อถือถือได้ โดยเฉพาะชุดตรวจสาร BY2 ที่กำลังเป็นที่ต้องการในกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายทุเรียนเพื่อการส่งออกในขณะนี้