คืนชีพผ้า ‘ตากะหมุก’ สู่ลายผ้าทอประจำ จ.ระยอง

จิรพันธุ์ สัมภาวะผล ผ้าตากะหมุก ระยอง

“ผ้าตากะหมุก (ตาสมุก)” ถือเป็นลายผ้าประจำจังหวัดระยอง ที่ก่อนหน้านี้ถูกกลืนหายไปจากความทรงจำของชาวจังหวัดระยองกว่า 146 ปี ล่าสุดได้ถูกรื้อฟื้นโดยอดีตหนุ่มช่างไฟฟ้า ผู้หลงใหลในศิลปวัฒนธรรมไทย จนกลายเป็นลายผ้าประจำจังหวัดระยองในปัจจุบัน

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “นายจิรพันธุ์ สัมภาวะผล” หรือ “ครูฝ้าย” ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลเพ และประธานศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง ต.บ้านเพ อ.เมืองระยอง ถึงที่มา ความพยายามในการสืบทอดผ้าโบราณของบรรพบุรุษ และต่อยอดพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์

ผ้าตากะหมุกผืนแรกรอบ 146 ปี

“กะหมุก” ในภาษาถิ่นระยอง ตรงกับคำว่า “สมุก” หรือ “กระติ๊บ” ที่หลายคนคุ้นเคย เป็นภาชนะจักสานจากใบลานหรือใบตาล ถูกนำมาเป็นแบบการทอผ้าผ่านเส้นใยเส้นฝ้าย จนเกิดเป็นลวดลายผ้า “ตากะหมุก” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลายเกล็ดเต่า” มีลักษณะลายตารางขนาดเล็ก ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนวิถีชีวิต อัตลักษณ์ และประวัติศาสตร์ของคนระยอง

ครูฝ้ายเล่าว่า เคยเป็นช่างไฟฟ้าอยู่โรงงานนับสิบปี แต่ด้วยใจรักศิลปะ จึงได้ไปเรียนเครื่องดนตรีไทย จนได้ไปสอนพิเศษเด็กหลังเลิกงาน เกิดแพชชั่นในการสืบสานวัฒนธรรมไทย ต่อมาได้เริ่มศึกษาเอกสารโบราณ และการเขียนอักษรขอมโบราณ จนสามารถเปิดเพจสอนได้

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2559 ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต อาจารย์ที่ศูนย์ศิลปาชีพท่านหนึ่งได้ชักชวนให้ไปช่วยทางสำนักพระราชวังร่างต้นฉบับอักษรขอมโบราณลงคัมภีร์ปาฏิโมกข์ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นช่างไฟฟ้าและทำเพจเขียนอักษรโบราณและสอนดนตรีไทยไปพร้อม ๆ กัน

ปี 2564 ได้มีโอกาสเป็นประธานสภาวัฒนธรรม จ.ระยอง จึงได้เริ่มเขียนหนังสือ “บ้านเพ” เพื่อเป็นคลังข้อมูล ทำให้ได้ค้นพบเรื่องราวน่าสนใจอย่างมาก เช่น บันทึกเมื่อปี 2419 สมัยรัชกาลที่ 5 มา จ.ระยอง ได้ระบุว่า “ผ้าตากะหมุก” เป็นผ้าพื้นถิ่นที่ “มีฝีมือดีกว่าที่กรุงเทพฯ” รวมถึงเจอบันทึกในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่า “คนเพ ใส่ผ้าไทยลายตากะหมุก” ซึ่งตรงกับบันทึกของรัชกาลที่ 5

นอกจากนี้ยังมีการบันทึกไว้ว่า “คนเพ” มีวิถีชีวิตปลูกฝ้าย และมีบันทึกจากคนเพเมื่อปี 2478 ว่า ได้ใส่ผ้าไทยลายตากะหมุกไปร่วมแต่งงานหมู่ จนค้นพบว่าบ้านเพไม่ได้มีดีแค่ทะเล แต่ยังมีศิลปวัฒนธรรม “ผ้าตากะหมุก” ที่ต่อยอดเป็นอาชีพได้ ทั้งนี้ ได้มีการบันทึกเพียงวิธีการทอ โดยใช้ด้ายสีเข้มสลับสีอ่อนกันไปมา ลองผิดลองถูกเป็นปี จนได้ผ้าตากะหมุกผืนแรกในรอบ 146 ปี

ADVERTISMENT

“แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะเลือนหายจากความทรงจำของชาวระยองไป แต่ตนได้นำมาปะติดปะต่อกัน เพื่อเริ่มแกะลายผ้าด้วยตนเองที่ในบันทึกระบุเพียงวิธีการทอเท่านั้น นี่จึงเป็นความยากสำหรับช่างไฟฟ้า”ผ้าตากะหมุก ระยอง ผ้าตากะหมุก ระยอง

ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์

ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม มีนโยบายว่า ทุกจังหวัดจะต้องมีลายผ้าประจำจังหวัด ทำให้ “ผ้าลายตากะหมุก” (ผ้าตราสมุก) ถูกประกาศให้เป็นผ้าประจำจังหวัดระยอง ต่อมาปี 2566 ได้จัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง” ปี 2567 ได้รับรางวัลตรานกยูงพระราชทาน ทำให้ผ้าตากะหมุกเป็นที่ต้องการอย่างมากในขณะนั้น มีออร์เดอร์ประมาณ 20 ชุดต่อเดือน จนผลิตแทบได้ทัน

ผ้าทอตากะหมุก แบ่งเป็น 2 เกรด ได้แก่ 1) เกรดเส้นใยสังเคราะห์ ราคา 390 บาทต่อหลา 2) เส้นใยฝ้าย 590 บาทต่อหลา

“หลังจากนั้นกระแสการใช้ผ้าไทยก็น้อยลง บ้างก็ขอต่อราคา ทำให้มีออร์เดอร์เหลือไม่ถึง 10 ชุดต่อเดือน ยอมรับว่าตลาดผ้าไทยแคบมาก ส่วนมากเป็นกลุ่มข้าราชการ, กลุ่มสายเดินแบบ และกลุ่มที่มีความสนใจเฉพาะส่วนบุคคล จนเริ่มรู้สึกท้อกับการทำงานผ้าไปบ้าง”

ด้วยโซเชียลเกิดไวรัลจากกางเกงช้าง จนเป็นแรงบันดาลใจมาออกผ้าลายใหม่ คือ “กางเกงผ้าลายยองฮิ” ผลิตจากผ้าไหมอิตาลี โดยหยิบความเป็นจังหวัดระยองมาเล่าผ่านลายผ้า เช่น ผลไม้ เมืองอุตสาหกรรม เกาะเสม็ด เป็นต้น ถือเป็นสินค้าขายดีตลอดทั้งปีแซงหน้าผ้าทอไปแล้ว เพราะตีตลาดได้ครอบคลุมตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัย ขายดีจนเซเว่นฯเคยเข้ามาติดต่อเมื่อปีที่แล้ว อยากให้ลงขายในเซเว่นฯกว่า 20 สาขาในแถบภาคตะวันออก แต่สู้ต้นทุนไม่ไหว ตอนนี้จึงสงวนสิทธิขายที่ร้านผลิตภัณฑ์ชุมชน (ร้านรักระยอง) เท่านั้น

ขยายกลุ่มทอ 8 อำเภอ

ปัจจุบันศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง ได้ขับเคลื่อนงานผ้าอย่างเต็มที่ ทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ 1) การสืบสานภูมิปัญญา-โดยกลุ่มนักเรียนและประชาชนทั่วไป ส่งเสริมให้นักเรียนได้ลงมือตั้งแต่การปลูกต้นฝ้าย-การทอผ้าในโรงเรียน เช่น การทอผ้าพันคอลูกเสือระดับชาติ ผ้าตากะหมุก โดยนักเรียนโรงเรียนวัดในไร่ จนกลายเป็นผ้าประจำจังหวัด เมื่อดีมานด์ในตลาดเพิ่ม จึงขยายพื้นที่ไปยังกลุ่มผู้ประกอบการแล้ว 4 อำเภอ รวม 6 กลุ่ม (อ.เมือง 2 กลุ่ม, อ.บ้านฉาง 2 กลุ่ม, อ.ปลวกแดง 1 กลุ่ม และเขาชะเมา 1 กลุ่ม) มีความตั้งใจว่าภายใน 3 ปีนี้จะขยายกลุ่มทอผ้าตากะหมุกได้ครบ 8 อำเภอ โดยที่ทุกคนมีหน้าที่ตามความสามารถ ตามความถนัดของตน

2) การรักษาภูมิปัญญา-การนำลายผ้าที่อยู่ในคัมภีร์มารื้อฟื้นได้ ปัจจุบันกำลังรื้อฟื้น “ลายผ้าห่อตู้พระธรรมคัมภีร์” และ “ลายราชวัตร”

3) การต่อยอดภูมิปัญญา-การเพิ่มสีสันและลวดลายให้บอกเล่าความป็นระยองได้มากกว่าลายตาราง เช่น ผ้าทอลายตากะหมุก ผสมเทคนิคมัดหมี่ลายอำเภอเขาชะเมา (ช้างเขาชะเมา ต้นปรงเขาชะเมา น้ำตกเขาชะเมา) เป็นต้น มีการบูรณาการร่วมกับโรงเรียนระยองวิทยาคม ให้นักเรียนทอผ้าเป็นสัญลักษณ์โรงเรียน

4) สร้างนวัตกรรมจากภูมิปัญญา-การส่งเสริมให้ทุกกระบวนการผลิตมาจากคนในชุมชนทั้งหมด เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน เป็นเส้นใยผ้า การย้อมสี กระบวนการทอและแปรรูป ในปัจจุบันฝ้ายมีราคาสูงถึง 700 บาทต่อ กก. ในส่วนกระบวนการย้อมสี สามารถใช้สีธรรมชาติในจังหวัดได้ เช่น น้ำตาล-น้ำตาลเทา สีเหลือง-ครีม จากต้นสารภีทะเล, สีน้ำตาล สีจากเปลือกไม้ประดู่ สีจากโกงกาง เป็นต้น โดยสีย้อม 1 กก. ต้องใช้เปลือก 3 กก. และใบ 5 กก. คนที่เก็บเปลือกเก็บ-ใบ 1 ครั้ง จะมีรายได้ 300-500 บาท/ครั้ง ส่วนกระบวนการทอขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล หรือบางรายได้นำผ้าทอมาแปรรูปให้เป็นปกสมุดโน้ต เสื้อผ้า กระเป๋าได้

5) สร้างการรับรู้ให้ภูมิปัญญาผ้าทอ-ช่วงต้นปี 2567 ศูนย์ได้รังสรรค์ประติมากรรมลอยตัว “มังกร” จากผ้าลายกะหมุก ความยาว 15 เมตร ไฮไลต์คือ การจัด “เกล็ดมังกร” เป็นวงกลม ไปจัดแสดงครั้งแรกที่ย่านศูนย์การค้าในจังหวัด นอกจากนี้ได้สร้างตลาดโดยให้สิทธิคนในชุมชนกว่า 23 ชุมชน มาขายผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น

ด้วยสตอรี่และคุณค่าของผ้าที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้ ผมจึงมีความฝันอยากเห็นผ้าตากะหมุกเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้ส่งออก แม้จะเป็นโจทย์ที่ยาก แต่ทางศูนย์พยายามสร้างการรับรู้ผ่านเพจเฟซบุ๊กอยู่ตลอด

อีกหนึ่งสิ่งที่ท้าทาย คือ การสร้างแนวร่วมนักทอผ้ามืออาชีพอย่างยั่งยืน เพราะงานผ้าต้องอาศัยการเรียนรู้อย่างหนักจนเกิดความชำนาญ การทอผ้า 1 ผืน ต้องใช้ความประณีต ความเอาใจใส่ และการทุ่มเทเวลา หรือทอได้ ก็ไม่ได้การันตีว่าขายได้หรือไม่ มันจึงเป็นงานที่ไม่ใช่ใครก็ได้จะมาทำ “เพราะความตั้งใจจริงของผม คือ ไม่ได้ต้องการเป็นผู้ประกอบการผ้า แต่ผมต้องการส่งต่อภูมิปัญญาผ้าเท่านั้น”

ทั้งนี้ ครูฝ้ายได้พูดถึงปัญหาของงานผ้าทอว่า ภูมิปัญญาผ้าทอ ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่สร้างมูลค่า สร้างอาชีพให้กับชุมชนได้อย่างดี แต่ความเป็นจริงยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การส่งเสริมการปลูก-การทอ-การสร้างอัตลักษณ์ลายผ้าเฉพาะกลุ่ม

ยกตัวอย่าง เช่น กางเกงช้าง เป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ ผ่านการใส่ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ประจำถิ่น แต่ถ้ากางเกงนั้นมาจากโรงงานอาจจะไม่ใช่ซอฟต์พาวเวอร์จริง ๆ

“เพราะแม้แต่ตนเองก็เคยคิดจะล้มเลิก เพราะพยายามหาพื้นที่กลางสำหรับงานผ้า แต่วิ่งไปหน่วยงานไหนถูกปฏิเสธหมด สุดท้ายต้องยอมเสียสละพื้นที่บ้านตัวเองครึ่งหนึ่ง เพื่อสร้างศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยองให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เพราะไม่อยากให้มันสูญหายไป จึงพยายามประคองให้มันดีที่สุด”