
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองรอง ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ ดัน 5 ผลิตภัณฑ์ชุมชน “มีดี” ชูเสน่ห์ชุมชนและวิถีอีสาน เปิดตลาดด้วยการค้าสมัยใหม่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เส้นทาง L-U-C-K ถือเป็นโครงการสำคัญของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงเอกลักษณ์วิถีภูมิปัญญาชุมชนเข้ากับตลาดสมัยใหม่ โดยเน้นผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชน “มีดี” ในแต่ละพื้นที่ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น สร้างสรรค์ และสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น สอดรับตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้เศรษฐกิจชุมชนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
การเปิดเส้นทาง “กาฬสินธุ์ มีดี” ครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของภาคอีสาน ซึ่งไม่เพียงตอกย้ำศักยภาพของจังหวัดเมืองรองที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาและวัฒนธรรม แต่ยังมุ่งสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
อธิบดีอรมนกล่าวต่อว่า “จังหวัดกาฬสินธุ์ มีอีกความหมายว่า ‘เมืองน้ำดำ’ (กาฬ แปลว่า ‘ดำ’ สินธุ์ แปลว่า ‘น้ำ’ กาฬสินธุ์ จึงแปลว่า ‘น้ำดำ’ น้ำดำในที่นี้ หมายถึง น้ำที่ใสสะอาดจนมองเห็นดินสีดำ ซึ่งดินดำเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด) เป็นแหล่งรวมผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีเรื่องราว วัฒนธรรม และวิถีชีวิตอันงดงาม โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ ในเส้นทาง ‘กาฬสินธุ์ มีดี’ ได้บอกเล่าถึงเสน่ห์ของ 5 ผลิตภัณฑ์ชุมชนมีดีของกาฬสินธุ์ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น สะท้อนถึงความเชื่อ ความศรัทธา ความคิดสร้างสรรค์ และความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะเอกลักษณ์ของชาวภูไทที่ยังคงได้รับการสืบทอดและดำรงอยู่ในทุกมิติของดินแดนเมืองน้ำดำ
1) พาลิ้มรสวิถีพื้นถิ่น ‘น้ำปลาร้าแม่บุญล้ำ’ ตำบลห้วยโพธิ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จากภูมิปัญญาการหมักในปี๊บและโอ่งดั้งเดิม สูตรเด็ดเคล็ดลับเฉพาะที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น พัฒนาต่อยอดเป็นน้ำปลาร้าต้มสุกบรรจุขวดที่ต้องการส่งต่อความอร่อยล้ำต้นตำรับอีสาน จนสามารถวางขายได้กว่า 15 ประเทศทั่วโลก กลายเป็นเครื่องปรุงของทุกครัวเรือนตามแนวคิด ‘อร่อยล้ำ ชัวร์ ทุกครัวต้องมี’
2) ‘ขนมข้าวพองอบกรอบ ฮั่งมี’ ตำบลนาโก อำเภอกุฉินารายณ์ ดินแดนปลูกข้าวอินทรีย์อีสาน วิถีชีวิตของชาวภูไทที่สืบกันมา ต่อยอดพัฒนาจากข้าวอินทรีย์หักที่ไม่มีมูลค่า นำมาเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรมแปรรูปที่ทันสมัย มาเป็นขนมของคนรุ่นใหม่ ที่อร่อย มีประโยชน์ และดีต่อสุขภาพ
3) ‘ผ้าไหมแพรวา บ้านโพน’ ตำบลโพน อำเภอคำม่วง ถิ่นแพรวา ราชินีแห่งไหมไทย เอกลักษณ์วิถีการทอผ้าของชาวภูไทที่สืบทอดจากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก แรงบันดาลใจจากความเชื่อ ความศรัทธา ธรรมชาติ และถิ่นที่อยู่ ผสานเทคนิคการทอด้วยการขิดและจกจากด้านใน สู่ลวดลายของผ้าไหมแพรวาที่เป็นเอกลักษณ์ สวยงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร ไปต่อที่ 2 ผลิตภัณฑ์สุดท้าย พามาสัมผัส…อัตลักษณ์ภูมิปัญญาชาวภูไท
4) ‘มาลัยไม้ไผ่ บ้านกุดหว้า’ ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ งานศิลปหัตถกรรมจากไม้ไผ่ที่สืบทอดกันมากว่า 100 ปี ประดิษฐ์ด้วยความประณีตจากฝีมือของผู้บ่าวภูไท จากความเชื่อที่เริ่มจากการทำเป็นเครื่องแขวนปัจจัยไทยธรรม พัฒนาสู่งานประดิษฐ์มาลัยไม้ไผ่ และต่อยอดเป็นของใช้ ของตกแต่ง ดีไซน์ร่วมสมัย สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน ท้ายสุดของเส้นทาง
5) ‘ภูไทฝ้ายงาม’ ตำบลคุ้มเก่า อำเภอเขาวง ผ้าฝ้ายทอมือแบบพื้นเมือง วิถีภูไทที่ถ่ายทอดผ่านเส้นใย สู่งานหัตถกรรมร่วมสมัย เทคนิควิถีการทอดั้งเดิมผสานดีไซน์ใหม่ สู่ของใช้ และของตกแต่งบ้าน งานฝีมือจากความรักความตั้งใจที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ความภาคภูมิใจของชาวภูไท และนี่ก็คือ 5 เสน่ห์เมืองน้ำดำที่อยากให้ทุกคนมาสัมผัส
สำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชนใน ‘กลุ่มผ้าไทย’ ถือเป็นอัตลักษณ์และภูมิปัญญาสำคัญของไทย จากการลงพื้นที่ กรมจึงได้มองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาช่วย ‘ต่อยอดด้านการตลาด’ ให้ผู้ผลิตผ้าไทยบนเส้นทาง L-U-C-K สายอีสาน ทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์ที่มีผู้ผลิตผ้าไหมแพรวา บ้านโพน และภูไทฝ้ายงาม รวมไปถึงจังหวัดอุดรธานีที่มีกลุ่มทอผ้าโบราณบ้านโนนกอก และ Hattra หัตราผ้าไทย โดยหลังจากนี้กรมจะพาผู้เชี่ยวชาญ 3 ด้านลงพื้นที่ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ ร่วมกับ Platform ออนไลน์ ที่เป็นพันธมิตรกับกรม และผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์
และทุกพื้นที่ในเส้นทาง ‘L-U-C-K’ คือ ความตั้งใจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ต้องการผลักดันและภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนมิติใหม่ ผ่านเรื่องราววิถีชุมชนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เน้นการเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสมผสานกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล และเส้นทางสุดท้าย จะพาลงไปสัมผัสวิถีพื้นถิ่นภาคใต้ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 ชุมพร มีดี มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนไทยไปด้วยกัน
ทั้งนี้ กรมเชื่อมั่นว่า ผลิตภัณฑ์ชุมชนไทยมีศักยภาพและ ‘มีดี’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่มา ภูมิปัญญา ทักษะฝีมือ หรือวัตถุดิบคุณภาพดีจากท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้ คือ จุดแข็งที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค” อธิบดีอรมนกล่าวสรุป